เมื่อได้กรมธรรม์ประกันชีวิตแล้ว อย่าลืม 3 สิ่งที่ควรเช็คและต้องรู้

ในการทำประกันชีวิตหลังจากที่มีการจ่ายค่าเบี้ยประกันและทำสัญญาประกันภัยแล้ว ทางบริษัทจะมีหนังสือฉบับหนึ่งให้ผู้ทำประกันเก็บไว้ นั่นก็คือ กรมธรรม์  ซึ่งกรมธรรม์ คือ เอกสารที่ทางบริษัทประกันออกให้กับผู้เอาประกัน เพื่อให้ทราบรายละเอียดของประกันที่ทำ เงื่อนไขและข้อยกเว้น ซึ่งเปรียบเสมือนเครื่องยืนยันความคุ้มครองจากบริษัทประกัน เมื่อเราได้รับกรมธรรม์แล้วอย่าลืม 3 เช็คต่อไปนี้

1.เช็คส่วนสรุปกรมธรรม์
ส่วนสรุปกรมธรรม์จะอยู่ช่วงหน้าแรกของเล่มกรมธรรม์ โดยต้องตรวจสอบข้อมูลต่อไปนี้ให้ถูกต้อง ชื่อแผนประกันชีวิต,ประเภทของประกันและบริษัทผู้รับทำประกัน วันที่เริ่มทำสัญญา,วันสิ้นสุดสัญญาและอายุของผู้เอาประกันตอนเริ่มทำสัญญา  ระยะเวลาความคุ้มครองตามสัญญา,ค่าเบี้ยและระยะเวลาจ่ายเบี้ยอาจเป็นรายเดือน/ปี จำนวนเงินเอาประกัน สัญญาเพิ่มเติม เช่น ความคุ้มครองเพิ่มเติมในเรื่องสุขภาพ

2.เช็คผลประโยชน์
เรียกได้ว่าเป็นส่วนที่สำคัญที่สุดอีกส่วนหนึ่งที่จะมองข้ามไม่ได้เลยกับ รายละเอียดของผลประโยชน์ที่จะได้รับ ทั้งกรณีที่ยังมีชีวิตอยู่ หรือ เสียชีวิต รวมไปถึง เงินคืนเมื่อสิ้นปีกรมธรรม์ อยู่ครบสัญญาได้เพิ่มอีกเท่าไหร่ เสียชีวิตได้เท่าไหร่ ในกรมธรรม์จะต้องระบุข้อมูลพวกนี้ให้ครบ พร้อมทั้งเปรียบเทียบเป็นอัตราส่วนในรูปแบบร้อยละ

3.เช็คข้อมูลตารางมูลค่าเงินสด
ส่วนนี้เป็นส่วนสุดท้ายของเล่มกรมธรรม์ ซึ่งจะแสดงตารางที่ข้อมูลสิทธิ์ขยายความคุ้มครอง,สิทธิ์เวนคืนมูลค่าเงินสด และสิทธิ์แปลงเป็นกรมธรรม์เงินสำเร็จ โดยทั้งหมดจะเป็นตารางตัวเลขสำหรับจำนวนเงินเอาประกันทุก 1 พันบาท ซึ่งเป็นข้อมูลสำคัญ โดยเฉพาะกับคนที่ต้องการหยุดจ่ายเบี้ย ตารางข้อมูลนี้ จะช่วยให้สามารถคำนวณได้รวดเร็ว

จะเห็นได้ว่า เพียงแค่กรมธรรม์เล่มเดียว แต่มีถึง 3 ส่วนที่เราต้องเช็ค เพราะทั้ง 3 ส่วนนี้คือสิทธิ์และผลประโยชน์ของตัวเราที่จะได้จากการทำประกันชีวิต ซึ่งถ้าหากเราไม่ตรวจเช็คให้ดี บางครั้งอาจจะทำให้เราเสียสิทธิ์หรือผลประโยชน์ในตัวประกันได้ เนื่องจากข้อมูลไม่ถูกต้องหรือการทำผิดเงื่อนไขกรมธรรม์ ซึ่งในบางครั้งนายหน้าหรือกรมธรรม์ก็ไม่ได้แจ้งเราทั้งหมด หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับประกันชีวิตสามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ KWI Life ที่ทำให้ประกันชีวิตเป็นเรื่องง่ายสำหรับคุณ

รู้ไหม ถังบำบัดน้ำเสียแบบเติมอากาศและไม่เติมอากาศ ต่างกันอย่างไร

ถังบำบัดน้ำเสีย คือ การใช้จุลินทรีย์กำจัดจุลินทรีย์กากของเสียซึ่งไหลลงสู่ถังบำบัดน้ำเสีย จะตกตะกอนอยู่ก้นถังที่เต็มไปด้วยจุลินทรีย์คอยย่อยสลาย ซึ่งจะทำให้น้ำไม่มีกากของเสียและปล่อยสู่ระบบสาธารณะได้ ซึ่งจะมี อยู่ 2 รูปแบบที่นิยมใช้กัน ถังบำบัดน้ำเสียแบบเติมอากาศ และ ถังบำบัดน้ำเสียแบบไม่เติมอากาศ ซึ่งหลายคนก็ยังสงสัยว่าทั้งสองแบบนี้ต่างกันอย่างไร

ถังบำบัดน้ำเสียแบบเติมอากาศ คือ ถังบำบัดน้ำเสียที่มีระบบเกรอะและกรองภายในถังเดียวกัน  ซึ่งจะมีท่อเติมอากาศ ที่มีหน้าที่นำอากาศจากปั๊มเติมอากาศ เข้ามาภายในตัวถัง เพื่อให้ตัวจุลินทรีย์ใช้อากาศในการย่อยสลายของเสีย ซึ่งจุลินทรีย์จะย่อยสลายสิ่งปฏิกูลที่เป็นอินทรีย์สารในน้ำเสีย

ถังบำบัดน้ำเสียแบบไม่เติมอากาศ คือ ถังบำบัดน้ำเสียแบบทั่วไป ที่ไม่มีท่ออากาศมาเติม มีเพียงจุลินทรีย์ในถังเท่านั้น ซึ่งเรื่องของการบำบัดน้ำเสียถือเป็นเรื่องสำคัญที่มองข้ามไม่ได้เลย เพราะระบบบำบัดน้ำเสียนั้นมีผลกระทบต่อระบบสิ่งแวดล้อมของสาธารณะ ซึ่งหากใช้ถังบำบัดน้ำเสียที่ผิดวิธีหรือไม่มีประสิทธิภาพ ก็จะทำให้น้ำเสียที่ปล่อยสู่สาธารณะนั้น เกิดกลิ่นและมลพิษทางน้ำ ซึ่งปกติแล้วถังบำบัดน้ำเสียแบบเติมอากาศ และ ถังบำบัดน้ำเสียแบบไม่เติมอากาศ นั้นรูปลักษณ์ภายนอกจะเหมือนกัน แต่ข้อแตกต่างก็คือ ถังบำบัดน้ำเสียแบบเติมอากาศ นั้นจะมีการใส่ท่ออากาศ ขนาดตั้งแต่ 1-2 นิ้ว และจะมีปั๊มเติมอากาศ ซึ่งจะมีหน้าที่จ่ายลมเข้าไปในตัวถังบำบัดเพื่อเพิ่มออกซิเจน ซึ่งถังบำบัดน้ำเสียแบบเติมอากาศ จะสามารถบำบัดน้ำเสียได้ดีกว่าแบบไม่เติมอากาศ ซึ่งถังบำบัดน้ำเสียแบบเติมอากาศ จะมีค่า BOD ไม่เกิน 20 mg/liter ซึ่งถือว่าเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมกว่าถังแบบไม่เติมอากาศ

จะเห็นได้ว่า ถังบำบัดน้ำเสียทั้งสองแบบจะมีรูปร่างภายนอกที่เหมือนกันเพียงแต่จะต่างในเรื่องของกลไกการทำงานภายใน ซึ่งการใช้ถังบำบัดน้ำเสียแบบเติมอากาศ นั้นจะทำให้คุณภาพของน้ำเสียที่ถูกบำบัดออกมา เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่า หากผู้อ่านท่านใดอยากสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับถังบำบัดน้ำเสีย สามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ DOSE LIFE ผู้จัดจำหน่ายและเชี่ยวชาญด้านถังเก็บน้ำมาอย่างยาวนาน คุณภาพดี ทนทาน มีประสิทธิภาพ อายุการใช้งานยาวนาน

[Top]

ก่อนทำวีเนียร์ฟันขาว ควรทำการบ้านเรื่องอะไรบ้าง

สำหรับการรักษาทันตกรรมในปัจจุบันนั้นมีหลากหลายวิธีการ โดยแต่ละวิธีการรักษานั้นก็เพื่อแก้ไขปัญหาทันตกรรมของคนไข้ได้อย่างตรงจุดและก็เพื่อให้คนไข้นั้นกลับมามีสุขภาพฟันที่แข็งแรงสมบูรณ์อีกครั้ง โดยหนึ่งในการทำทันตกรรมเพื่อรักษาฟันให้คงรูปร่างเดิมไว้เสมือนก่อนหรือจะเรียกว่าการทำทันตกรรมเพื่อความงามอย่างการทำ วีเนียร์ฟันขาว ก็เป็นหนึ่งในการทำทันตกรรมที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน

ด้วยความนิยมในปัจจุบันของการทำวีเนียร์ทำให้หลายต่อหลายคนเริ่มคิดตัดสินใจวางแผนที่จะทำวีเนียร์ฟันขาวดูบ้าง แต่ก่อนที่จะตัดสินใจทำวีเนียร์ฟันขาวได้นั้น ก็มีสองถึงสามเรื่องที่ควรทำการบ้านให้ดีเสียก่อน ซึ่งในวันนี้เราก็จะมาแนะนำเรื่องที่ควรทำการบ้านก่อนตัดสินใจทำวีเนียร์ฟันขาวให้ทุกคนได้ดูกัน

ก่อนทำวีเนียร์ฟันขาว

วีเนียร์ฟันขาวคืออะไร

เรื่องแรกที่ควรทำการบ้านก่อนตัดสินใจทำวีเนียร์ฟันเลยนั่นคือการทำวีเนียร์ฟันขาวคืออะไร โดยการทำวีเนียร์ฟันขาวก็คือ หนึ่งในวิธีการเคลือบผิวฟันด้วยการใช้วัสดุที่มีลักษณะ ความบาง และสีใกล้เคียงกับฟันธรรมชาติ มาติดบริเวณด้านหน้าขอฟัน ซึ่งไม่เพียงแต่จะช่วยในเรื่องของความสวยงามของฟัน แต่ยังช่วยป้องกันปัญหาการทำร้ายผิวฟัน ลดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต โดยอายุการใช้งานของวีเนียร์นั้นสามารถอยู่ได้นาน 10-15 ปีเลยทีเดียว

วีเนียร์ฟันขาวช่วยในเรื่องอะไร

อย่างที่ชื่อก็บอกไว้ว่าวีเนียร์ฟันขาวจุดประสงค์ก็เพื่อปกปิดและแก้ไขฟันที่มีสีไม่สม่ำเสมอเช่นฟันเหลือง ฟันมีสีเข้ม เป็นต้น แต่นอกจากนั้นการทำวีเนียร์ฟันยังช่วยบำรุงและดูแลสุขภาพฟันในเรื่องต่างๆ ได้อีกด้วยเช่น ช่วยแก้ปัญหาเรื่องฟันห่าง ฟันบิด ฟันซ้อน หรือฟันเก ฟันที่ได้รับความเสียหายเช่น ฟันบิ่น ฟันแตก ฟันสึก หรือฟันกร่อน เป็นต้น

ทำวีเนียร์ฟันขาวที่ไหนดี

เรื่องสำคัญอีกเรื่องหนึ่งที่ควรทำการบ้านก่อนตัดสินใจทำวีเนียร์ฟันขาวนั่นก็คือ การเลือกคลินิกหรือสถานพยาบาลที่ทำวีเนียร์ฟัน สถานที่ให้บริการวีเนียร์ที่เราควรจะตัดสินใจเลือกนั้นควรมีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านการทำทันตกรรมเพื่อความงาม เพราะการรักษาทันตกรรมทั่วไปกับการทำทันตกรรมเพื่อความงามนั้นค่อนข้างจะมีความแตกต่างกันพอสมควร ดังนั้นก่อนตัดสินใจเลือกก็ควรพิจารณาในข้อนี้ให้ดีเสียก่อน

[Top]

เปิดประวัติ แอปเปิ้ลสีเหลืองมีแหล่งที่มาจากไหน

วันนี้เรามีเกร็ดความรู้ดีๆ มาฝากทุกคนกัน เกี่ยวกับเรื่องใกล้ตัวที่เราคุ้นเคยและพบเจอกับมันได้ทุกวันนั่นคือ ผลไม้ แต่ในวันนี้อาจจะเป็นเรื่องที่ใหม่สำหรับใครสักเล็กน้อย เพราะว่าเรื่องที่เราจะมาพูดถึงนั้นคือ แอปเปิ้ลสีเหลือง ซึ่งเป็นแอปเปิ้ลที่ไม่ค่อยได้พบเห็นกันมาเท่าไหร่ในบ้านเรา แต่เป็นที่นิยมเป็นอย่างมากในต่างประเทศ เพราะฉะนั้นก็อย่ารอช้า เรามาทำความรู้จักเจ้าแอปเปิ้ลสีเหลืองนี้ไปพร้อมๆ กันได้เลย

ทำความรู้จักแอปเปิ้ลสีเหลือง

แอปเปิ้ลสีเหลือง หรือ แอปเปิ้ลเหลือง เป็นผลไม้ในตระกูลแอปเปิ้ลซึ่งเป็นพืชยืนต้นขนาดเล็ก ทรงต้นเป็นพุ่มขนาดกลางไม่สูงไม่ใหญ่ มีผลเป็นผลเดี่ยวลักษณะทรงกลม หรือกลมแป้น ตรงก้นผลมีรอยบุ๋มลึก ตัวผลมีเปลือกบาง ผิวเรียบ เมื่อผลสุกจะมีสีเหลืองทอง เนื้อภายในจะแน่นฉ่ำน้ำ มีสีขาวนวล รสชาติหวานและมีกลิ่นหอมที่เป็นเอกลักษณ์

การเก็บเกี่ยวแอปเปิ้ลสีเหลืองจะใช้ระยะเวลาประมาณ 2-3 ปี หลังปลูกลงในแปลง โดยต้องรอช่วงเวลาที่ ผลแอปเปิ้ลเหลืองมีขนาดโตเต็มที่ มีสีเหลืองทอง แล้วจึงทำการตัดออกมาทั้งขั้ว หลังจากนั้นจึงนำเข้าสู่ตลาดหรือส่งออกเป็นลำดับถัดไป

โดยแอปเปิ้ลเหลืองมีถิ่นกำเนิดอยู่ในทวีปเอเชียกลาง มีปลูกในหลายประเทศที่มีอากาศหนาวเย็น และในประเทศไทยเองก็มีปลูกในแถบภาคเหนือ มีคุณประโยชน์และสรรพคุณทางยามากมายหลายอย่าง ส่วนใหญ่มักนำมารับประทานเป็นของว่าง ใช้ทำอาหาร หรือใช้ทำเป็นเครื่องดื่มต่างๆได้

ประโยชน์และสรรพคุณแอปเปิ้ลสีเหลือง

อย่างที่ได้กล่าวไปว่าแอปเปิ้ลสีเหลืองมีสรรพคุณและประโยชน์มากมาย เนื่องจากว่ามีส่วนประกอบของวิตามินและสารอาหารต่างๆ รวมอยู่หลายชนิด ซึ่งวิตามินและสารอาหารต่างๆ เหล่านั้นล้วนมีประโยชน์ต่อร่างกายเราเป็นอย่างมาก เช่น ช่วยบำรุงสายตา ป้องกันการเกิดต้อกระจก ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ช่วยป้องกันโรคมะเร็ง ช่วยขับสารพิษ ช่วยบำรุงตับและปอด และช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจ เป็นต้น

และเพื่อที่จะได้บริโภคแอปเปิ้ลเหลืองที่มีความสดใหม่ รสชาติกรอบ หวาน อร่อย ควรเลือกแอปเปิ้ลเหลืองที่มีสภาพสดใหม่ ไม่มีรอยช้ำ หรือรอยแผล มีกลิ่นที่หอม และหากเป็นไปได้ควรเลือกลูกที่ยังมีขั้วติดอยู่กับผล เพราะสิ่งเหล่านี้จะช่วยบอกเราได้ว่าแอปเปิ้ลเหลืองลูกนั้นเป็นแอปเปิ้ลที่สดใหม่ นอกจากนั้นก่อนการบริโภคแอปเปิ้ลสีเหลืองควรล้างทำความสะอาดให้ดีเสียก่อน เพื่อให้สิ่งสกปรกหรือสารปนเปื้อนออกจากแอปเปิ้ลเหลืองของเรา

[Top]

มารู้จักประกันชีวิตรูปแบบใหม่ ยูนิเวอร์แซลไลฟ์ กัน

หากกล่าวถึง ประกันชีวิต ในรูปแบบใหม่ นั่นก็คือ ประกันชีวิตแบบยูนิเวอร์แซลไลฟ์ (Universal Life) ฟังดูแล้วหลายๆคนอาจจะยังไม่รู้จัก และไม่คุ้นหู วันนี้เราจะพาไปทำความรู้จักกันค่ะ

ประกันชีวิตแบบยูนิเวอร์แซลไลฟ์ (Universal Life) เป็นแบบประกันที่มีความคุ้มครองระยะยาวเช่นเดียวกับแบบตลอดชีพโดยผู้เอาประกันสามารถเลือกความคุ้มครองและสามารถปรับเพิ่มลดทุนประกันชีวิตได้ตามความต้องการของผู้เอาประกันภัยหลักการของแบบประกัน Universal Life นั้นจะเป็นการเปิดเผยข้อมูลแก่ผู้เอาประกันภัยทั้งหมดว่าเราจ่ายเบี้ยประกันภัยมามีหักค่าใช้จ่ายในเรื่องอะไรบ้างเช่นค่าดำเนินการค่าดูแลรักษากรมธรรม์และส่วนที่สำคัญคือค่าการประกันภัย Cost Of Insurance (COI) จะขึ้นอยู่กับเพศและจำนวนความคุ้มครองชีวิตหากเราเลือกทุนความคุ้มครองที่สูงก็จะมีค่าใช้จ่ายที่สูงตามไปด้วยและหลังจากหักค่าใช้จ่ายทั้งหมดเงินส่วนที่เหลือจะถูกนำไปลงทุนตามความเหมาะสมโดยบริษัทประกันจะเป็นฝ่ายตัดสินใจให้ทั้งหมดในเรื่องของการลงทุน ข้อดีของ ประกันชีวิตแบบยูนิเวอร์แซลไลฟ์ ก็คือ การตอบแทนที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าแบบประกันแบบสะสมทรัพย์ โดยจะมีการการันตีผลตอบแทนขั้นต่ำ ที่ไม่มีความเสี่ยงที่ขาดทุนเมื่อผู้ทำประกันถือกรมธรรม์ไปจนครบสัญญาอีกทั้งสามารถถอนเงินจากมูลค่าเงินลงทุนที่มีอยู่ในกรมธรรม์ประกันได้ตลอดเวลาตามที่เราต้องการ โดยไม่ต้องรอครบกำหนดเหมือนกับแบบสะสมทรัพย์ อาจจะมีข้อแม้ที่การชำระเบี้ยเป็นรายงวดหรือแบบที่มีความคุ้มครองถึง 99ปี นอกจากนี้ลักษณะการจ่ายเบี้ยประกันยัง เป็นตัวกำหนดความคุ้มครองและทุนประกันเองได้ ข้อเสีย คือ สามารถถอนเงินจากมูลค่าเงินลงทุนที่มีอยู่ในกรมธรรม์ประกันได้ตลอดเวลาตามที่เราต้องการ โดยไม่ต้องรอครบกำหนดเหมือนกับแบบสะสมทรัพย์ อาจจะมีข้อแม้ที่การชำระเบี้ยเป็นรายงวดหรือแบบที่มีความคุ้มครองถึง 99 ปี

เป็นอย่างไรกันบ้างคะ คิดว่า ประกันชีวิตแบบยูนิเวอร์แซลไลฟ์ (Universal Life) นี้น่าสนใจหรือตอบโจทย์ความต้องการในชีวิตของเพื่อนๆกันหรือเปล่า หากเพื่อนๆ คนไหนสนใจประกันชีวิต สามารถติดต่อสอบถามได้ที่ https://www.kwilife.com/ ค่ะ

[Top]