4 ข้อควรรู้ก่อนตัดสินใจเลือกทำประกันชีวิต

ทำประกันชีวิตใครว่าทำได้เลย มาดู 4 ข้อควรรู้ก่อนตัดสินใจเลือกทำประกันชีวิต ว่ายังมีเรื่องที่คุณไม่รู้ หรือถ้ารู้แล้วจะมีผลต่อการตัดสินใจทำประกันชีวิตอย่างไรให้เหมาะสมกับความต้องการของตัวเอง พร้อมได้สิทธิประโยชน์เพิ่ม มาดูกันเลยค่ะ

1.ประกันชีวิตไม่ใช่การฝากเงิน ถึงประกันชีวิตจะมีลักษณะคล้ายเงินฝาก แต่ต่างกันที่การฝากเงินนั้น สามารถเบิกถอนเงินได้ตลอดเวลา แต่ประกันชีวิตไม่ใช่แบบนั้น เพราะการถอนเงินจากกรมธรรม์ ไม่สามารถทำได้เหมือนเงินฝาก ต้องรอมีเงินคืน หรือครบสัญญา และถ้าหากจำเป็นต้องใช้เงินจริงๆ ก็ต้องทำการเวนคืนกรมธรรม์ ซึ่งอาจจะทำให้มูลค่าเงินสดที่เหลืออยู่ในกรมธรรม์ น้อยกว่าเบี้ยที่จ่ายไปค่ะ

2.อยากทำประกันชีวิต เพราะอยากลดหย่อนภาษีอย่างเดียวไม่ได้ หน้าที่ของประกันชีวิตคือการคุ้มครองความเสี่ยงเป็นหลัก เพราะหากอยากซื้อประกันชีวิตเพื่อลดหย่อนภาษี ให้ได้ลดหย่อนเยอะๆ บางทีแล้วอาจจะเป็นการลดหย่อนภาษีที่เกินความจำเป็น ควรมองถึงภาพรวมของการวางแผนการเงินเพื่อชีวิตด้วยค่ะ

3.ประกันสั้นๆ ไม่ได้ดีกว่าประกันยาวๆ บางคนเลือกซื้อประกันชีวิต เน้นเงินออม และตั้งใจจะจ่ายเบี้ยสั้นๆ เพราะคิดว่าไม่อยากจ่ายยาวเป็นภาระ แต่ความจริงก็คือ ควรจะสั้นหรือยาว ขึ้นอยู่กับเป้าหมายการเงิน และความจำเป็นในชีวิต เช่น เป้าหมายการออมของเราคืออะไร เพื่อให้เรามั่นใจว่าการทำประกันชีวิตจะตอบโจทย์ทุกความต้องการของเราค่ะ

4.แบบที่มีเงินคืน ไม่ได้ดีกว่าแบบที่ไม่มีเงินคืน ที่จริงแล้วประกันแบบที่มีเงินคืนนั้น ส่วนใหญ่จะเป็นแบบสะสมทรัพย์ ทำเพื่อการันตีเงินออม ส่วนแบบที่ไม่มีเงินคืนคือเป็นแบบเน้นคุ้มครองชีวิต ถึงไม่มีเงินคืน แต่ถ้าเทียบกับเบี้ยที่จ่ายในจำนวนที่เท่ากัน แบบที่เน้นคุ้มครองชีวิตที่ไม่มีเงินคืน จะได้วงเงินคุ้มครองชีวิตสูงกว่าเยอะมาก ยิ่งเป็นแบบจ่ายเบี้ยทิ้ง วงเงินคุ้มครองยิ่งสูงมากๆ

เป็นอย่างไรกันบ้างคะ กับ 4 ข้อควรรู้ที่เรานำมาฝากผู้อ่านทุกท่าน หวังว่าคงจะมีส่วนช่วยในการตัดสินใจในการเลือกทำประกันชีวิตนะคะ หากมีข้อสงสัยเพิ่มเติมสามารถสอบถามได้ที่ เคดับบลิวไอ ประกันชีวิต ที่มอบผลตอบแทนสูงสุดให้กับคุณตามสัญญาที่กำหนด บริการอย่างห่วงใย ใส่ใจในทุกกรมธรรม์ค่ะ

ผลไม้แอปเปิ้ลมีวิธีการทานอย่างไรให้ได้ประโยชน์สูงสุด

สำหรับผลไม้ยอดนิยมที่ผู้คนมักเลือกบริโภคกันไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่อย่าง ผลไม้แอปเปิ้ล นั้น มีวิธีการบริโภคอยู่มากมายหลายแบบ ไม่ว่าจะทานแบบผลสด น้ำมาใส่ในขนม จานอาหาร จานสลัด นำมาเป็นส่วนประกอบในจานอาหาร เช่น ทำซอส ทำซุป เป็นต้น หรือจะนำมาทำเป็นน้ำผลไม้ก็สามารถทำได้เช่นเดียวกัน

แต่รู้หรือไม่ว่าการบริโภคผลไม้แอปเปิ้ลให้ได้ประโยชน์สูงสุดนั้นต้องมีวิธีการบริโภคอย่างไร วันนี้เราจึงขอนำเสนอ วิธีการทานอย่างไรให้ได้ประโยชน์สูงสุด พร้อมทั้ง

ทานผลไม้แอปเปิ้ลอย่างไรถึงจะดีที่สุด

การทานผลไม้แอปเปิ้ลให้ดีที่สุดนั้นขึ้นอยู่กับวิธีการที่ผู้บริโภคเลือกทาน โดยสามารถทานแอปเปิ้ลได้หลายวิธี เช่น

  • ทานแอปเปิ้ลเปลี่ยนมือโดยไม่ตัดเป็นชิ้น : ผลไม้แอปเปิ้ลมีเนื้อที่หนาและกรอบ การทานแบบนี้จะช่วยให้คุณได้รับใยน้ำและใยอาหารจากผิวสมบูรณ์
  • ทานแอปเปิ้ลตัดเป็นชิ้น : การตัดแอปเปิ้ลเป็นชิ้นจะช่วยให้คุณทานได้ง่ายและสะดวกขึ้น โดยสามารถเอาแอปเปิ้ลตัดเป็นชิ้นๆ แล้วนำไปรวมกับโยเกิร์ตหรือครีมชีสเพื่อเพิ่มรสชาติ
  • ทำเป็นผลไม้สดกับผักผลไม้ผสม : ผู้บริโภคสามารถทำเป็นสลัดผักผลไม้ผสมกับแอปเปิ้ลสด เพื่อให้ได้รับใยอาหารที่เพียงพอและหลากหลาย
  • ปรุงอาหาร : แอปเปิ้ลสามารถนำมาปรุงอาหารได้หลากหลายเช่น ทำเป็นแกงหรือทอดเป็นขนมแอปเปิ้ล ซึ่งจะช่วยเพิ่มรสชาติและความสนุกสนานให้กับการทานผลไม้แอปเปิ้ล

การเลือกทานแอปเปิ้ลให้ดีที่สุดควรเลือกผลแอปเปิ้ลที่สดใหม่และไม่มีรอยแตกหรือเน่าเสีย นอกจากนี้ ผู้บริโภคควรล้างผลไม้แอปเปิ้ลให้สะอาดก่อนรับประทาน เพื่อป้องกันและหลีกเลี่ยงสารพิษต่างๆ ที่อาจตกค้างอยู่บนผลแอปเปิ้ลได้

จำเป็นต้องปอกเปลือกผลไม้แอปเปิ้ลก่อนรับประทานหรือไม่

คำตอบคือ ไม่จำเป็นต้องปอกเปลือกผลไม้แอปเปิ้ลก่อนรับประทาน เนื่องจากเปลือกของแอปเปิ้ลมีใยอาหารสูงและมีสารอาหารสำคัญอย่างสูง ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เช่น เส้นใยอาหารที่ช่วยลดความเสี่ยงของโรคหลอดเลือด รวมถึงเป็นแหล่งของวิตามิน C ที่ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันและการดูแลสุขภาพของเหงือกและฟัน

อย่างไรก็ตาม ถ้าคุณต้องการล้างแอปเปิ้ลก่อนรับประทาน คุณสามารถใช้น้ำเปล่าล้างแอปเปิ้ลก่อนทาน โดยไม่จำเป็นต้องใช้สารล้างจานหรือสารเคมีอื่นๆ ที่อาจทำให้สารพิษตกค้างในผลไม้ได้ แต่ถ้ามีแผลหรือรอยทำลายบนผิวแอปเปิ้ล ควรตัดออกก่อนทานเพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโรคได้ในภายหลัง

[Top]

มาเช็คกัน คุณรู้จักเวชศาสตร์ฟื้นฟูดีหรือยัง

เวชศาสตร์ฟื้นฟู ชื่อนี้อาจจะยังไม่คุ้นหูมากเท่าไหร่นัก แต่บางคนก็อาจจะรู้จัก แต่คุณรู้จักเวชศาสตร์ฟื้นฟูดีแค่ไหน และเวชศาสตร์ฟื้นฟูนั้นมีความเหมาะสมกับผู้ป่วยในกลุ่มไหนบ้าง เราจะพาไปทำความรู้จักกัน

เวชศาสตร์ฟื้นฟูคืออะไร?

เวชศาสตร์ฟื้นฟู คือ แผนกหนึ่งที่มีหน้าที่คอยดูแล รวมไปถึงการให้การรักษาด้านการฟื้นฟูสภาพร่างกายของผู้ป่วยที่มีอาการต่างๆ อาทิ มีอาการปวด อาการติดขัดเมื่อเคลื่อนไหว กล้ามเนื้ออ่อนแรง  มีความผิดปกติทางระบบประสาท หรือการออกกำลังกาย เพื่อให้ร่างกายกลับมามีประสิทธิภาพเหมือนเดิมอีกหรือใกล้เคียงปกติมากที่สุด

โดยการมีวิธีการทางเวชศาสต์ฟื้นฟูนั้นจะมีตั้งแต่การใช้ยา ฉีดสเตียรอยด์ ร่วมกับการทำหัตถการ การใช้เครื่องมือเฉพาะทางกายภาพบำบัด อาทิ shock wave, ultrasound diathermy, laser therapy การออกกำลังกายเฉพาะ การใช้อุปกรณ์ช่วยเหลือหรือทดแทน การฝังเข็ม ซึ่งวิธีทางการเวชศาสตร์ฟื้นฟูไม่ได้มุ่งหวังเพียงให้ผู้ป่วยร่างกายกลับมามีประสิทธิภาพเหมือนเดิมอีกหรือใกล้เคียงปกติมากที่สุดเพียงอย่างเดียว แต่ยังช่วยป้องกันอาการต่างๆ กลับมาเป็นซ้ำด้วย

เวชศาสตร์ฟื้นฟูเหมาะกับใคร?

เวชศาสตร์ฟื้นฟู จัดได้ว่าเป็นการรักษาที่เหมาะกับผู้ป่วยในกลุ่มที่มีอาการเรื่องของกล้ามเนื้อ เอ็น กระดูกและข้อ ออฟฟิศซินโดรม กระดูกทับเส้น ข้อเสื่อม การบาดเจ็บจากการเล่นกีฬา ความผิดปกติของระบบประสาทและสมอง แขนและขาอ่อนแรง ชา มีปัญหาการกลืน ซึ่งในการรักษาอาการต่างๆ เหล่านี้ จะมีแพทย์เวชศาสตร์ฟื้นฟู ซึ่งมีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางในเรื่องของการบำบัดและดูแลผู้ป่วย จะทำหน้าที่ในการตรวจประเมินอาการผู้ป่วย ไปจนถึงการวางแผนเพื่อดูแลและฟื้นฟูสมรรถภาพของผู้ป่วย หลังจากนั้นจะมีพยาบาลเวชศาสตร์ฟื้นฟู ซึ่งถือได้ว่าเป็นทีมที่มีหน้าที่ฟื้นฟูผู้ป่วย ทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ คอยให้ความรู้หรือแนะนำ และที่สำคัญคือการติดตามและรายงานอาการของผู้ป่วยให้กับแพทย์เวชศาสตร์ฟื้นฟู

เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งศาสตร์ที่น่าสนใจ ถือว่าเป็นอีกหนึ่งทางเลือกของผู้ป่วยที่จะใช้ในการรักษาอาการบาดเจ็บที่เป็นอยู่ และช่วยป้องกันอาการต่างๆ ที่ผู้ป่วยเป็นไม่ให้กลับมาเป็นซ้ำอีก เชื่อได้ว่าจากบทความนี้ใครหลายคนคงจะรู้จักและเข้าใจเวชศาสตร์ฟื้นฟูมากยิ่งขึ้น หากสนใจเรื่องราวเพิ่มเติมของเวชศาสตร์ฟื้นฟู สามารถดูได้ที่ https://www.rehabcareclinic.com/

[Top]

ซื้อประกันออมทรัพย์อย่างไรให้เหมาะกับจังหวะชีวิต

รู้กันหรือไม่ว่าความสำคัญของการซื้อประกันออมทรัพย์ ไม่ได้มีความสำคัญแค่ซื้อประกันออมทรัพย์ในตอนที่เราอยากซื้อเท่านั้น แต่การเลือกซื้อประกันออมทรัพย์ ให้เหมาะกับจังหวะช่วงชีวิตเราก็เป็นเรื่องที่สำคัญ เพราะในแต่ละวัย แต่ละจังหวะชีวิตนั้นคนเราจะมีความต้องการและความจำเป็นที่แตกต่างกันออกไปค่ะ วัยใดบ้างที่ควรซื้อประกันออมทรัพย์มาดูกันเลยค่ะ

1.วัยตั้งต้น วัยนี้เป็นวัยแรกเริ่มของการทำงาน เป็นการเริ่มการเข้าสู่ชีวิตจริง ที่จะเข้าสู่การทำงานแบบ 100% ซึ่งในวัยนี้เราจะมีสวัสดิการจากการทำงานเข้ามาช่วย อาทิ ประกันสังคม ประกันกลุ่มของบริษัท ซึ่งประกันเหล่านี้มักจะครอบคลุมทั้งในส่วนของอุบัติเหตุและการเจ็บป่วย การเริ่มทำประกันออมทรัพย์ในวันนี้จึงควรเน้นไปที่ ประกันออมทรัพย์แบบคุ้มครองชีวิต เพื่อสร้างวินัยทางการเงินให้กับตัวเองและช่วยในเรื่องของการลดหย่อนภาษี

2.วัยเริ่มสร้าง เมื่อเราตั้งหลักตัวเองได้สักระยะ สิ่งที่เรามักทำต่อไปนั่นก็คือการเริ่มสร้างครอบครัวของตัวเอง ซึ่งวัยนี้จะเริ่มมีภาระ ทรัพย์สิน และที่สำคัญมีคนที่อยู่ข้างหลังเรา การสร้างความมั่นคงในชีวิตจึงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ประกันชีวิตออมทรัพย์ของวัยนี้ ควรต้องเน้นประกันออมทรัพย์ที่พ่วงการคุ้มครองชีวิตเพิ่มเข้าไปด้วย เพื่ออนาคตของคนในครอบครัว

3.วัยแห่งความมั่นคง วัยนี้เป็นวัยที่เรียกได้ว่าอะไรหลายๆอย่างนั้นลงตัวแล้ว และเป็นวัยที่เราจะได้ทำการเก็บเงินเพื่อใช้จ่ายในอนาคตหรือที่มักเรียกกันว่าการวางแผนชีวิตช่วงบำนาญ ซึ่งประกันออมทรัพย์ที่เหมาะสมคือประกันออมทรัพย์ระยะยาวได้ผลตอบแทนสูงค่ะ

4.วัยบั้นปลายของชีวิต วัยนี้เรียกได้เป็นช่วงท้ายของชีวิตคนเรา เริ่มมีการวางแผนส่งมอบมรดกที่มีให้ครอบครัว ลูก ประกันออมทรัพย์ที่เหมาะสมกับวัยนี้คงเป็นไปไม่ได้นอกเสียจาก ประกันชีวิตแบบคุ้มครองชีวิตที่จะมอบผลประโยชน์การคุ้มครองได้อย่างเต็มที่ค่ะ

เรียกได้ว่าทั้ง 4 วัย มีความจำเป็นที่แตกต่างกันออกไป ทำให้การซื้อประกันออมทรัพย์ที่มีความเหมาะสมกับแต่ละช่วงวัยนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญ เพื่อที่จะได้ประกันออมทรัพย์ที่ตอบโจทย์มากที่สุดค่ะ หากผู้อ่านท่านใดมีความสนใจอยากทำประกันออมทรัพย์ขอแนะนำ KWI Life ที่มอบผลตอบแทนสูงสุดให้คุณ บริการด้วยความห่วงใย ใส่ใจคุณทุกเวลาค่ะ

[Top]

เทคนิคทำตาสองชั้น แบบไหนที่เหมาะกับคุณ

การทำตาสองชั้น เป็นการศัลยกรรมตาชนิดหนึ่งที่นิยมทำกันในปัจจุบัน แพทย์จะทำการผ่าตัดบริเวณเปลือกตาบน ซึ่งแพทย์จะนำหนังตารวมไปถึงไขมันส่วนเกินตรงเปลือกออก แล้วค่อยเย็บชั้นตาให้สวยงามกว่าเดิม การทำตาสองชั้นมีเทคนิคที่หลากหลาย แต่จะรู้ได้อย่างไรว่าเทคนิคไหนเหมาะกับคุณ วันนี้เรามีคำตอบให้ค่ะ

1.การเย็บแบบ 3 จุด เทคนิคนี้ เป็นการทำตาสองชั้น โดยการสร้างชั้นตาจากการกำหนดจุด 3 ตำแหน่ง เพื่อให้เกิดชั้นตาขึ้นมา ไม่มีการกรีด จะใช้ไหมเย็บเพื่อให้เกิดรอยพับตาที่เป็นธรรมชาติ การใช้เทคนิคนี้จะเหมาะกับคนที่ต้องการตาสองชั้น โดยที่ไม่มีแผลจากการกรีด คนตาเล็ก ตาชั้น ตาหลบใน หนังตาบาง ไม่มีหนังตาเกิน

2.การกรีดตาสั้น หรือเทคนิคการกรีดแผลเล็ก เทคนิคนี้เป็นการทำตาสองชั้น ซึ่งเป็นแผลเปิดที่มีขนาดเล็กโดยไม่มีการตัดหนังตาหรือไขมันเปลือกตาที่เกินออก และใช้ไหมเย็บตา เพื่อให้เกิดชั้นตาที่คมชัด เป็นธรรมชาติ โดยการเลือกใช้เทคนิคนี้จะเหมาะกับคนที่มีตาชั้นเดียว เปลือกผิวตาบาง ตาหลบใน เนื้อเปลือกตาน้อย รวมถึงมีไขมันเปลือกตาน้อย

3.การกรีดตายาว เทคนิคนี้เป็นการกรีดตาสองชั้น พร้อมตกแต่งหนังตาและไขมันเปลือกตาเกินออก ซึ่งเทคนิคนี้เลือดจะออกน้อย ไม่ค่อยบวมช้ำหลังทำ และลดระยะเวลาในการพักฟื้นได้เป็นอย่างดี ซึ่งจะมีการตกแต่งหนังตาก่อนเย็บชั้นตาตามที่ได้ออกแบบไว้ โดยเทคนิคนี้เหมาะกับคนที่มีตาสองชั้น ตาหลบใน ภาวะที่หนังตาตกทับดวงตา เปลือกตามีความหย่อนคล้อย หรือไขมันเยอะ เปลือกตาหนาหรือการแก้ไขตาสองชั้นที่เคยทำมาแล้ว

เรียกได้ว่าเทคนิคในการทำตาสองชั้น ไม่ได้เป็นเพียงการเลือกในแบบที่เราต้องการ แต่ยังเป็นการเลือกจากสภาพปัญหาที่เราเจอเพื่อให้ในการทำตาสองชั้นนั้นออกมาได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด และควรเลือกคลินิกที่คุณภาพได้มาตรฐาน มีใบรับรองอย่างถูกต้อง สะอาดปลอดภัยและตรวจสอบได้ มีประสบการณ์ด้านการศัลยกรรมโดยเฉพาะ อิสสวีร์คลินิกมีประสบการณ์การผ่าตัดที่ มากกว่า 2,000 เคส คุณหมอสามารถวิเคราะห์รูปหน้าในแต่ละคนได้ว่าคุณเหมาะสมกับการเสริมจมูกแบบไหน เหลาซิลิโคนใหม่ทุกเคส เพื่อให้ผลลัพธ์ออกมาสวยตามต้องการ

[Top]