การเตรียมตัวก่อนและหลังทำทันตกรรมรากฟันเทียม
หากคุณเป็นคนหนึ่งที่มีปัญหากับฟันธรรมชาติและสูญเสียฟันไป แต่ไม่ต้องการที่จะใส่ฟันปลอม การทำรากฟันเทียมก็เป็นตัวช่วยที่ตอบโจทย์ที่ดีที่สุด แต่ก่อนที่จะทำรากฟันเทียมนั้นจะต้องเตรียมตัวก่อน-หลังอย่างไรบ้าง วันนี้เรามีข้อมูลมาฝากกันค่ะ
การทำรากฟันเทียมนั้นเป็นทันตกรรมที่นิยมทำกันมากพอสมควร เพราะตอบโจทย์มากสำหรับผู้ที่สูญเสียฟัน เนื่องจากคนเรานั้นแม้จะสูญเสียฟันไปเพียงแค่หนึ่งซี่แต่กลับส่งผลกระทบกับระบบการบดเคี้ยวทั้งช่องปากมากกว่าที่คิด หากปล่อยไว้อย่างนั้นอาจทำให้เกิดปัญหาที่รุนแรงกว่าตามมาได้ ดังนั้นหากทำรากฟันเทียมในเวลาที่เหมาะสมก็จะช่วยคงประสิทธิภาพการบดเคี้ยวได้ดีดังเดิม
การทำรากฟันเทียมไม่จำเป็นต้องเตรียมตัวมากเป็นพิเศษ ยกเว้นมีโรคประจำตัวหรือมีประวัติการแพ้ยาเท่านั้น อย่างไรก็ตามถ้าใครรับประทานอาหารเสริมหรือยาที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือดอยู่ ต้องแจ้งทันตแพทย์ด้วยเช่นเดียวกัน ส่วนการดูแลตัวเองหลังจากทำรากฟันเทียมเสร็จแล้ว คนไข้จะต้องงดการรับประทานที่แข็งหรือเหนียวและงดขบกัดของแข็ง อย่างน้อย 1-2 เดือน แต่สามารถทานอาหารธรรมดาและแปรงฟันได้ตามปกติ สิ่งที่ต้องระวังมีเพียงการกระทบกระเทือนในบริเวณที่ทำรากฟันเทียมเท่านั้นเอง สำหรับอาการปวดบวม อาจมีบ้างคล้ายกับการถอนฟัน แต่หากปฏิบัติตามคำสั่งแพทย์อย่างถูกต้องเหมาะสมอาการเหล่านี้จะดีขึ้นภายใน 5-7 วันแต่ถ้าใครมีอาการผิดปกติเช่น ชาบริเวณลิ้นหรือริมฝีปาก ปวดบวมมาก มีหนอง มีไข้ แนะนำให้รีบไปพบแพทย์
จะเห็นได้ว่าการเตรียมตัวก่อนและหลังทำทันตกรรมรากฟันเทียมนั้นทำได้ไม่ยาก ผู้ที่สนใจอยากทำรากฟันเทียมควรศึกษาข้อมูลเหล่านี้ไว้เพราะจะเป็นประโยชน์มากเมื่อถึงเวลาเข้ารับการรักษารากฟันเทียมให้ได้ประสิทธิภาพมากที่สุด
หากใครสนใจรักษาด้วยวิธีทันตกรรมรากเทียมที่ ศูนย์ทันตกรรมเพื่อความงาม PMDC ก็มีบริการรากฟันเทียมสำหรับผู้ที่สูญเสียฟัน ดูแลรักษาโดยทีมทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านรากฟันเทียมโดยเฉพาะ
คลิกเข้าไปดูรายละเอียดการทำรากฟันเทียมได้ที่นี่เลย >>>https://www.pmdc-dental.com/th/ทันตกรรมตกแต่ง/รากฟันเทียม
ลงทุนตามวัย Gen ไหน ลงทุนยังไงดี
การวางแผนทางการเงินหรือการเลือกลงทุนอะไรบ้างก็มีความสำคัญ เพราะหากใครที่ต้องการมีเงินเก็บไว้สำหรับอนาคต กรณีฉุกเฉิน และใช้เนื่องในโอกาสสำคัญต่างๆ การวางแผนและการลงทุนจะมีบทบาทอย่างมากในการเก็บและสะสมมูลค่าของเงิน โดยในแต่ละช่วงวัยของเรานั้นก็จะมีรูปแบบในการเก็บและวางแผนทางการเงินที่ไม่เหมือนกัน เราจึงได้ทำการรวบรวมเทคนิคและการวางแผนทางการเงินอย่างไร ให้สามารถเตรียมพร้อมกัยสถานการณ์ต่างๆ ได้
วัยเริ่มทำงาน (อายุ 20-30 ปี)
เป็นช่วงวัยที่ค่อนข้างได้เปรียบในการออมและการลงทุนมากที่สุด มีความคล่องตัวในการลงทุนสูง มีภาระติดตัวน้อย ง่ายต่อการเริ่มต้นใหม่ สามารถรับความเสี่ยงได้ดีกว่าวัยอื่นๆ และหากมีความผิดพลาดก็ยังมีโอกาสจะหาเงินทดแทนได้ง่าย เน้นที่การลงทุนแบบระยะยาว ฝากประจำ หรือการลงทุนในกองทุนรวมตลาดเงิน ที่มีสภาพคล่องสูง หรือในหุ้นที่มีเงินปันผล
วัยสร้างครอบครัว (อายุ 31- 40 ปี)
เป็นช่วงวัยที่มีความมั่นคงทางการเงินมากขึ้น มีการสร้างครอบครัว และเน้นการเก็บออมเงินเพื่ออนาคต ควรวางแผนเพื่อการกระจายความเสี่ยงในการลงทุน ด้วยการแบ่งเงินไปลงทุนในทรัพย์สินประเภทต่างๆ ไม่ควรทุ่มเงินไปที่การฝากเงินอย่างเดียว เช่น การออมเงินในรูปแบบดอกเบี้ยสูง การทำประกันชีวิตเพื่อสร้างหลักประกัน
วัยสร้างความมั่นคง (อายุ 41-55 ปี)
เป็นช่วงที่มีชีวิตที่มั่นคง ฐานเงินเดือนที่สูง มีภาระหน้าที่น้อยลง เราควรที่จะต้องรักษาความั่นคงทางการเงิน เน้นการลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำ เช่น เงินฝากและพันธบัตรเพิ่มมากขึ้น ประมาณ 30-40% ส่วนที่เหลือก็เน้นที่การวางแผนสำหรับการลงทุนหลังเกษียณ
วัยเกษียณ (อายุ 55 ปีขึ้นไป)
เป็นช่วงที่เริ่มจะหารายได้ได้ยากมากขึ้น บางคนอาจจะไม่มีรายได้จากการทำงานแล้ว การวางแผนทางการเงินในช่วงนี้ จึงควรระมัดระวังอย่างยิ่ง เน้นการลงทุนที่ปลอดภัย ความเสี่ยงต่ำเพื่อให้จำนวนเงินที่สะสมมานั้น สามารถนำมาใช้ในยามเกษียณได้ยาวนานที่สุด เช่น เงินฝาก พันธบัตรรัฐบาล กองทุนรวมตราสารหนี้ และประกันชีวิต
เราหวังว่าบทความนี้จะช่วยทำให้หลายคนได้เข้าใจถึงหลักในการวางแผนของแต่ละช่วงวัยได้ถูกต้อง และหากใครที่กำลังมองหาตัวในการออมเงิน เราขอแนะนำ ออมคุ้มคุ้ม PLUS 10/5 ประกันออมทรัพย์ ตัว Top ปี 2020 ล่าสุดบน iTax ได้รับการแนะนำโดย Salary Investor และลงทุนแมน ออมก็ง่าย คืนคุ้มยิ่งกว่า ผลตอบแทนสูง การันตีผลตอบแทนรวมสูงถึง 555% ออมสั้น 5ปี คุ้มครองยาว 10ปี พร้อมลดหย่อนภาษีสูงสุดถึง 100,000 บาท ทุกปีที่ชำระเบี้ย ซื้อวันนี้ลดเบี้ยให้ทันที 10% สนใจอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.kwilife.com/endowment
[Top]สายตาพังแบบไม่ทันตั้งตัว ถ้ามีพฤติกรรมเหล่านี้
มองไปทางไหนก็เจอแต่คนใส่แว่น แม้กระทั้งเด็กๆที่ยังอายุไม่เท่าไหร่ก็ใส่แว่นซะแล้ว เพื่อนๆเคยคิดกันบ้างมั้ยว่า ในอนาคตไปเราจะรอดหรอ จะต้องใส่แว่นมั้ย ถ้าไม่อยากให้สายตาพังจนต้องใส่แว่น เพื่อนๆต้องเลิกพฤติกรรมดังต่อไปนี้
☛ ใช้สายตาในที่มืด : ไม่ว่าจะใช้สายตาในที่มืดเวลาดูโทรทัศน์ อ่านหนังสือ หรือแม้แต่เล่นมือถือก็ตาม ล้วนเป็นสาเหตุให้สายตาพัง เพราะการทำพฤติกรรมแบบนี้ ทำให้กล้ามเนื้อรอบดวงตาและม่านตาต้องทำงานหนัก มีสิทธิ์ที่สายตาจะสั้น จนทำให้เพื่อนๆต้องใส่แว่น หรือบางรายต้องลงทุนแก้ไขด้วยการทำเลสิกก็มี
☛ อยู่ติดหน้าจอนานเกินไป : ไม่ว่าจะเป็นจอคอม จอทีวี หรือจอมือถือ ซึ่งรังสีจากแสงหน้าจอของอุปกรณ์เหล่านี้จะเข้าไปทำลายดวงตา จะส่งผลให้เกิดสายตาล้า ตาแห้ง ปวดหัว พอนานๆไปมีสิทธ์ที่จอประสาทตาเสื่อม เกิดปัญหาสายตาขึ้นได้ จนต้องพึ่งการเลสิกตา
☛ ใช้มือสกปรกขยี้ดวงตา : พฤติกรรมนี้บางทีเพื่อนๆอาจไม่รู้ตัว เพราะเหมือนสมองสั่งการให้ขยี้เมื่อเกิดอาการคันตา แต่เราไม่สามารถมองเห็นได้ว่ามือเราสะอาด สกปรก หรือมีเชื้อโรคอยู่ไหม ซึ่งหากมือเราสกปรกมีเชื้อโรค พอขยี้ตาจะทำให้ตาอักเสบ ตาแดง ถ้าขยี้รุนแรงอาจทำให้กระจกตาฉีกขาดได้ด้วย
☛ นอนอ่านหนังสือ : การนอนอ่านหนังสือดูเหมือนเป็นเรื่องธรรมดาที่ใครๆก็เคยทำกัน แต่รู้หรือไม่ว่าพฤติกรรมนี้ ทำให้กล้ามเนื้อตาต้องทำงานหนัก ต้องปรับโฟกัสระยะห่างของตัวหนังสือที่ไม่คงที่ตลอดเวลา พอทำไปในระยะยาว ส่งผลให้สายตาเสียได้
พฤติกรรมทั้งหมดที่บอกไปนี้ ทำให้สายตาของเพื่อนๆเสียโดยไม่รู้ตัว แต่ถ้าสายตาเสียแล้วไม่อยากใส่แว่นหรือคอนแทคเลนส์การทำเลสิคก็เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ดี เพราะการเลสิคตา สามารถช่วยแก้ไขปัญหาสายตาได้หลายแบบ ไม่ว่าจะสายตาสั้น สายตายาว หรือสายตาเอียง หลังจากเลสิกตาแล้วจะทำให้กลับมามองเห็นได้ชัดเจนอีกครั้ง การทำเลสิกจึงนิยมทำกันมากในสมัยนี้ เพราะการเลสิกตาได้ผลลัพธ์ไว ไม่ต้องทนใส่แว่นให้เสียบุคลิก
หากเพื่อนสนใจการทำเลสิค ขอแนะนำที่ Laservision เพราะเป็นศูนย์เลสิคตาครบวงจร ที่มีจักษุแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเลสิกตามาเป็นเวลานานหลายปี มั่นใจได้ว่าหลังการทำเลสิคแล้วดวงตาของคุณจะกลับมามองเห็นชัดอีกครั้งอย่างแน่นอน
[Top]รากฟันเทียมแต่ละยี่ห้อ มีวิธีเลือกอย่างไร
รากเทียม เกิดการคิดค้น ดันแปลง และพัฒนามาอย่างยาวนาน ซึ่งในปัจจุบันการทำรากฟันเทียมก็มีให้เลือกอยู่หลายแบบ หลายยี่ห้อ ไม่ว่าจะจากยุโรป หรือจากเอเชียเอง แล้วแบบนี้เราจะมีวิธีเลือกรากฟันเทียมอย่างไร ให้ได้ดีที่สุด เรามีมาบอกครับ
1. เลือกรากฟันเทียมจากบริษัทที่ได้มาตรฐาน น่าเชื่อถือ และมั่นคง และตัวแทนจำหน่ายในประเทศไทยเองก็ต้องมีความน่าเชื่อถือด้วยเช่นกัน และในอนาคตเราสามารถหาหรือเปลี่ยนชิ้นส่วนได้ง่าย
2. เลือกบริษัทที่ทำการวิจัยค้นคว้าเกี่ยวกับทันตกรรมรากเทียม และมีผลงานวิจัยรับรองน่าเชื่อถือ ในภายภาคหน้าเราอาจจะได้ชิ้นส่วนรากเทียมที่ดีจากการพัฒนาและคิดค้นกว่าแต่ก่อน
3. คุณภาพของตัวรากฟันเทียมต้องดี ผลิตจากวัสดุที่มีคุณภาพสูงแบบ medical grade ซึ่งยี่ห้อหลักๆในตลาดปัจจุบันของทั้งไทยและต่างประเทศแบ่งออกง่ายๆดังนี้
– แบรนด์กลาง ได้แก่ SIC ,Neodent(Straumann group,made in Brazil)
– แบรนด์ High end ได้แก่ Straumann(Switzerland),Zimmer(US),Nobel Biocare(Sweden)
– แบรนด์เกาหลี ได้แก่ dentium ,osstem,Neobiotech
ถ้าจะให้ดีที่สุดควรปรึกษาทันตแพทย์ผู้มีความเชี่ยวชาญด้านทันตกรรมรากเทียม เพื่อที่จะเลือกทำรากฟันเทียม ได้ตอบโจทย์ดีที่สุด
หากสนใจทำรากฟันเทียมสามารถคลิกเข้าไปดูรายละเอียดได้ที่นี่เลย >>> https://www.pmdc-dental.com/th/ทันตกรรมตกแต่ง/รากฟันเทียม
[Top]สิ่งที่ต้องรู้เกี่ยวกับเงื่อนไขประกันสุขภาพ
ในหลายครั้งเรื่องของการทำประกันสุขภาพ เรามักจะมองแต่เรื่องของความคุ้มครองที่เราจะได้รับจากการทำประกันสุขภาพและผลตอบแทนที่จะได้รับ และค่าใช้จ่ายในการชำระค่าเบี้ยประกันในแต่ละปี จนทำให้เราอาจลืมมองถึงสิ่งที่สำคัญเกี่ยวกับการทำประกันสุขภาพ นั้นก็คือ เงื่อนไขและรายละเอียดเชิงลึกของการทำประกันสุขภาพ เป็นสิ่งที่หลายคนไม่ชอบที่จะอ่านมากที่สุด เนื่องจากมีเนื้อหาที่ค่อนข้างเยอะและมักจะเขียนแล้วเข้าใจยากเนื่องจากใช้คำศัทพ์ที่ค่อนข้างเฉพาะเจาะจงมาก ยิ่งเราไม่ได้เรียนในทางกฏหมายก็อาจทำให้เราไม่เข้าใจได้เลย ซึ่งในวันนี้เราได้ทำการรวบรวมเงื่อนไขของการทำประกันสุขภาพที่คุณต้องรู้มาฝากกันครับ ซึ่งเงื่อนไขนี้จะเป็นเงื่อนไขที่แทบเรียกได้ว่าต้องมีในทุกประกันสุขภาพ
1. ประกันสุขภาพ จะไม่คุ้มครองโรคที่เราเป็นมาก่อน
ในการทำประกันสุขภาพ เราจะไม่สามารถเบิกค่ารักษาพยาบาลจากโรคที่เคยเป็นมาก่อนได้ โดยบริษัทประกันจะทำการตรวจเช็คประวัติการรักษาของเราจากโรงพยาบาลได้
2. ประกันสุขภาพจะไม่คุ้มครองในทันที
โดยทั่วไปแล้ว ในการทำประกันสุขภาพ สิ่งที่เราต้องรู้ก็คือ ผลของความคุ้มครองจะยังไม่เริ่มในทันที จะต้องรอยคอยเป็อย่างน้อย 30 วัน โดยในช่วงนี้เราจะไม่สามารถขอเคลมค่ารักษาพยาบาลได้
3. เงื่อนไขของประกันสุขภาพ มีข้อยกเว้นเสมอ
หากเรายังไม่เคยทำประกันสุขภาพ ข้อนี้คือสิ่งสำคัญมาก เพราะในประกันสุขภาพแม้ว่ามันจะคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลได้จากโรคแทบทุกประเภท แต่ก็มีบางอย่างที่เราไม่สามารถขอเคลมได้ เช่น การรักษาที่เกี่ยวข้องกับความสวยความงาม การรักษาสิว ฝ้า กระ หรือการปลูกผม เป็นต้น
4. การทำประกันสุขภาพต้องเปิดเผยข้อมูลตามจริง
ในการทำประกันสุขภาพ บ่อยครั้งที่เรามักจะโดนให้ตอบคำถามเรื่องสุขภาพ แต่ถ้าหากทางบริษัมไม่ได้ถามแต่มีให้กรอกข้อความ สิ่งที่เราควรทำคือ กรอกข้อมูลตามความจริง เนื่องจากหากเราได้ทำประกันสุขภาพไปแล้ว บริษัทสามารถรู้ว่าเรากรอกข้อมูลไม่ตรงกับความเป็นจริง โอกาสที่จะโดนบอกเลิกสัญญามีสูงมาก
เราหวังว่าบทความนี้จะช่วยทำให้หลายคนได้เข้าใจถึงสิ่งที่เป็นเงื่อนไขที่สำคัญของการทำประกันสุขภาพกันมากขึ้น และสำหรับใครที่กำลังมองหาประกันสุขภาพที่สามารถทำได้ง่ายแบบออนไลน์ เราขอแนะนำ ฟินชัวรันส์ แบบประกันสุขภาพจากแมนูไลฟ์ ประกันสุขภาพ ที่ให้ความคุ้มครองครบ จะอุบัติเหตุเล็กใหญ่ โรคร้ายต่างๆ โรคฮิตทั่วไป มะเร็งทุกระยะ รวมถึง50 โรคร้ายแรง ก็พร้อมดูแลด้วยค่ารักษาแบบเหมาจ่ายสูงสุดถึง 10 ล้านบาทต่อปีด้วย ค่าห้องสูงสุดถึง 9,000 บาทต่อวัน และสิทธิ์รักษาพยาบาลผู้ป่วยนอก OPD แบบไม่จำกัดจำนวนครั้ง สูงสุดถึง 50,000 บาทต่อปี ไม่ต้องซื้อแยก ใบเดียวครบ หมดกังวลช่วงนี้ด้วยความคุ้มครองเพิ่มเติมพิเศษ ตรวจเจอโควิด-19 ก็ดูแลทันที ด้วยเงินชดเชยพิเศษสูงถึง 20,000 บาท หากเสียชีวิตจากโควิด 19 เพิ่มเติมพิเศษให้อีก 100,000 บาท พร้อมโรงพยาบาลและสถานพยาบาลในเครือข่ายมากกว่า 364 แห่งทั่วประเทศแบบไม่ต้องสำรองจ่าย
[Top]