น้ำมันพืชควรบริโภคปริมาณเท่าไหร่จึงจะมีประโยชน์แก่ร่างกาย

น้ำมันพืช ผลิตภัณฑ์ที่อยู่คู่ครัวเรือนไทยเรียกได้ว่าแทบจะทุกบ้านเรือน เนื่องจากว่าเป็นวัตถุดับหลักๆ ที่ใช้ในการปรุงหรือประกอบอาหารประเภทต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นจานผัด จานทอด หรือเป็นส่วนผสมในเมนูอาหารต่างๆ ก็ทำได้เช่นเดียวกัน

แต่อย่างที่ทราบกันว่าการบริโภคน้ำมันพืชในปริมาณที่มากเกินไปอาจจะทำให้เกิดอันตรายต่อร่างกายได้ และในทางกลับกันการบริโภคน้ำมันพืชในปริมาณน้อยเกินไปก็ทำให้เกิอันตรายต่อสุขภาพได้เช่นเดียวกัน แล้วปริมาณการบริโภคน้ำมันพืชที่พอดีอยู่ตรงไหนหล่ะ

ดังนั้นเราจะพามาดูกันว่าจริงๆ แล้วเราควรบริโภคน้ำมันพืชปริมาณมากหรือน้อยแค่ไหนจึงจะอยูในปริมาณที่พอดีเหมาะสม และหากบริโภคน้อยหรือมากจนเกินไปจะส่งผลอะไรบ้าง หากเราพร้อมแล้วก็ไปดูกันเลย

การบริโภคน้ำมันพืชในปริมาณที่น้อยจนเกินไป

การบริโภคน้ำมันพืชในปริมาณที่น้อยเกินไป อาจทำให้ร่างกายได้รับพลังงานไม่เพียงพอและน้ำหนักร่างกายน้อยกว่าคนปกติ นอกจากนี้อาจทำให้ได้รับวิตามินที่จำเป็นต่อร่างกายไม่เพียงพอ ส่งผลให้เกิดโรคขาดวิตามินดังกล่าวได้ รวมไปถึงการได้รับกรดไขมันที่จำเป็นต่อร่างกายไม่เพียงพอ ซึ่งกรดไขมันที่จำเป็นดังกล่าว มีผลช่วยให้ระบบการทำงานต่างๆ ของร่างกาย เช่น กรดไลโนเลอิกสามารถลดปริมาณคอเลสเตอรอลในเลือด โดยไปช่วยละลายคอเลสเตอรอล จึงมีประโยชน์ในการป้องกันโรคหัวใจและโรคหลอดเลือดบางชนิด

การบริโภคน้ำมันพืชในปริมาณที่มากจนเกินไป

หากบริโภคน้ำมันพืชมากเกินไป ร่างกายจะได้รับพลังงานมากเกินกว่าที่ร่างกายต้องการ พลังงานส่วนเกินดังกล่าวจะถูกเปลี่ยนเป็นไขมันสะสมในร่างกาย เป็นผลให้น้ำหนักร่างกายสูงเกินเกณฑ์ และเกิดโรคอ้วนได้ นอกจากนี้ผู้ใหญ่ที่มีอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป มีการรับประทานอาหารที่มีน้ำมันสูงกว่าร้อยละ 40 ของแคลอรีทั้งหมด โดยน้ำมันที่รับประทานนั้นเป็นพวกมีกรดไขมันอิ่มตัวสูง อาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เลือดมีปริมาณคอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์สูงกว่าปกติ  ซึ่งเป็นผลมาจากไขมันอิ่มตัวไปกระตุ้นการผลิต LDL- คอเลสเตอรอล ก่อให้เกิดโรคหัวใจ และหลอดเลือดได้ง่าย

การบริโภคน้ำมันพืชในปริมาณที่พอดี

การบริโภคน้ำมันพืชในปริมาณที่พอดีนั้นควรคำนึงถึงสารอาหารที่ร่างกายต้องการในแต่เป็นหลัก หากบริโภคน้อยกว่านั้นก็ถือว่าต่ำเกินไปและหากบริโภคมากกว่านั้นก็ถือว่าสูงจนเกินความจำเป็น ดังนั้นควรบริโภคให้อยู่ในบริมาณที่พอเหมาะพอดีกับความต้องการของร่างกาย และไม่เพียงแต่น้ำมันพืชการบริโภคสารอาหารประเภทอื่นๆ ก็ควรให้อยู่ในเกณฑ์ที่พอดีกับความต้องการของร่างกายด้วยเช่นเดียว เพื่อให้ร่างกายมีความแข็งแรงและลดความเสี่ยงในการเกิดอันตรายต่างๆ แก่ร่างกาย

รู้กันไหมว่าครอบฟันคืออะไร และมีกี่แบบ

ครอบฟัน (Dental Crowns) คือการใช้วัสดุที่ดูเหมือนซี่ฟัน สวมครอบฟันที่เกิดการเสียหายค่อนข้างมากลงไปทั้งซี่คล้ายกับการสวมหมวกทับฟันลงไป เพื่อเสริมความแข็งแรง และช่วยให้ฟันกลับมามีสภาพดูเป็นปกติ โดยก่อนที่จะทำการครอบฟันทุกครั้ง ทันตแพทย์จะมีการเช็ครากฟันและโพรงประสาทฟันสมบูรณ์ว่ามีความสมบูรณ์ดี ไม่มีการอักเสบ เพราะหากรากฟันไม่สมบูรณ์อาจทำให้เกิดปัญหาอื่นๆ ตามมา เช่น ฟันโยก ไม่แข็งแรง ครอบฟันหลุดได้ ครอบฟันหน้ามี 5 แบบด้วยกันดังนี้

1.ครอบฟันโลหะล้วน (Full Metal Crown: FMC) การครอบฟันในแบบนี้จะมีความแข็งแรงมากที่สุด เหมาะสำหรับการครอบฟันกราม เพราะเกิดการแตก หัก บิ่น ได้ยาก แต่ก็มีข้อเสียคือ สีไม่เหมือนฟันจริงและในการทำต้องกรอเนื้อฟันออกเป็นจำนวนมาก

2.ครอบฟันเซรามิกล้วน (All-ceramic crown: ACC) การครอบฟันในแบบนี้ มีความสวยงามและใกล้เคียง ธรรมชาติมากที่สุด มีความสวยงามเลียนแบบลักษณะฟันได้หลากหลาย แต่ก็มีข้อเสีย ในเรื่องของความแข็งแรงทนทาน โดยการครอบฟันแบบนี้มีโอกาสที่แตก หัก บิ่นได้ง่ายกว่าแบบโลหะล้วน ซึ่งการครอบฟันแบบเซรามิกล้วน แบ่งย่อยได้อีก 2 ประเภท คือ 1. ครอบฟันเซรามิกล้วนแบบแก้วเซรามิก (All-resin crown) การครอบฟันเซรามิกประเภทนี้ เป็นการครอบฟันที่สวยงาม เหมือนฟันธรรมชาติที่สุด ความแข็งแรงระดับปานกลาง เหมาะกับฟันหน้าและฟันกรามน้อย 2.ครอบฟันเซรามิกล้วนแบบแก้วเซรามิก (All-resin crown) เป็นครอบฟันที่สวยงาม เหมือนฟันธรรมชาติที่สุด ความแข็งแรงระดับปานกลาง เหมาะกับฟันหน้าและฟันกรามน้อย

3.ครอบฟันโลหะเคลือบเซรามิก (Porcelain-fused-to-metal crown: PFM) การเคลือบฟันในแบบนี้มีความแข็งแรงปานกลาง ข้อเสียคือ แม้จะมีโครงเป็นโลหะแต่เซรามิกที่เคลือบก็ยังคงแตก หัก บิ่นได้ง่าย

4.ครอบฟันเรซินล้วน (All-resin crown) ทำจากวัสดุเรซินล้วนที่คล้ายกับพลาสติก มีราคาถูกที่สุดเมื่อเทียบกับครอบฟันชนิดอื่น มีความแข็งแรงปานกลาง แต่มีโอกาสแตกหักได้ง่ายกว่าครอบฟันชนิดอื่น จึงมักใช้เป็นครอบฟันชั่วคราวระหว่างการรักษา

5.ครอบฟันเหล็กกล้าไร้สนิม (Stainless Steel Crown: SSC) ครอบฟันแบบสีไม่สวยไม่เหมือนธรรมชาติ สังเกตเห็นได้ง่ายว่าสวมครอบฟันอยู่ แต่ข้อดีคือไม่ต้องไปพบทันตแพทย์หลายครั้ง จึงเหมาะสำหรับสวมฟันน้ำนมเด็ก

โดยสรุปแล้วการครอบฟันเป็นอีกหนึ่งทางเลือกของผู้ที่มีปัญหาฟันผุ ที่เกินกว่าการรักษาด้วยการอุดฟัน มีข้อดีก็คือช่วยเสริมฟันให้แข็งแรง ให้กลับมาใช้งานได้ปกติ อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าการครอบฟันจะช่วยให้ฟันแข็งแรงขึ้น แต่ก็มีโอกาสทำให้ฟันเสียหายได้เช่นกัน สำหรับท่านใดที่สนใจการทำครอบฟัน และต้องการสอบถามเพิ่มเติม สามารถขอรับคำปรึกษาได้ที่ศูนย์ทันตกรรม PMDC เพื่อประกอบการตัดสินใจทำได้เลยนะคะ

[Top]

ปัญหาที่พบเจอได้บ่อยกับถังบำบัดน้ำเสีย

สิ่งที่ตามมาหลังจากการใช้งานอุปกรณ์หรือผลิตภัณฑ์ต่างๆ นั่นก็คือการดูแลรักษานั่นเอง เพราะอุปกรณ์หรือผลิตภัณฑ์ต่างๆ เหล่านั้นต่างก็มีอายุในการใช้งานของมัน โดยเฉพาะอะไหล่ชิ้นเล็กที่เป็นส่วนประกอบภายในอุปกรณ์ต่างๆ

ดังนั้นวันนี้มาดูหนึ่งในอุปกรณ์ที่หลายๆ บ้านเรือนนิยมติดตั้งกันอย่าง ถังบำบัดน้ำเสีย ว่ามีปัญหาแบบไหนที่พบเจอได้บ่อย เพื่อให้ทุกคนสามารถดูแลรักษาถังบำบัดน้ำเสียได้อย่างถูกต้อง ช่วยให้ถังบำบัดน้ำเสียมีอายุการใช้งานที่ยาวนาน รวมไปถึงช่วยเราลดค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมตัวถังได้อีกด้วย หากพร้อมแล้วเราไปดูปัญหาเหล่านั้นได้เลยครับ

ปัญหาที่พบบ่อยของถังบำบัดน้ำเสีย

ปัญหาสิ่งแปลกปลอมอุดตัน – ปัญหาที่มักพบได้บ่อยปัญหาแรกเลยนั่นก็คือเรื่องของสิ่งแปลกปลอมอุดตัน โดยส่วนใหญ่แล้วมักจะอุดตันบริเวณท่อน้ำเข้าและน้ำออก ซึ่งปัญหาสิ่งแปลกปลอมอุดตันมักจะเป็นต้นตอให้เกิดปัญหาอื่นๆ ตามมา

ปัญหากลิ่นเหม็น – เป็นอีกหนึ่งปัญหาที่เกิดมาจากสิ่งแปลกปลอมอุดตันในถังบำบัดน้ำเสีย หรืออาจเกิดจากการที่ท่อระบายอากาศมีการติดตั้งไม่เหมาะสมจึงทำให้เกิดกลิ่มเหม็นจากบริเวณที่ติดตั้งถังบำบัดน้ำเสียหรือห้องส้วม

ปัญหาคราบตะกอน – เป็นปัญหาที่สามารถเกิดขึ้นได้ทั่วไปจากการที่ใช้งานถังบำบัดน้ำเสียมาเป็นระยะเวลานาน โดยที่ไม่ได้มีการทำความสะอาดเลย โดยอาจจะสังเกตุปัญหานี้ได้จากเศษหรือคราบตะกอนที่อยู่ในชักโครก เป็นต้น

ปัญหาชักโครกกดไม่ลง – เป็นปัญหาที่เกิดจากการที่ถังบำบัดน้ำเสียมีสิ่งสกปรกหรือสิ่งปฏิกูลเต็มตัวถัง หรือการระบายอากาศภายในตัวถังทำงานได้ไม่ดีนัก

วิธีการดูแลถังบำบัดน้ำเสียที่ถูกต้อง

เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาที่กล่าวมาข้างต้น เราควรหมั่นตรวจสอบและดูแลรักษาถังบำบัดน้ำเสียเพื่อให้ถังมีประสิทธิภาพการทำงานที่ดีอยู่เสมอ โดยสามารถดูแลรักษาตัวถังได้ด้วยวิธีดังต่อไปนี้

  • ไม่ควรทิ้งเศษกระดาษ หรือสิ่งแปลกปลอมลงในชักโครก เช่น ผ้าอนามัย กระดาษทิชชู่ หรือเศษพลาสติก เป็นต้น
  • หมั่นสูบบ่อเกรอะทุกๆ ปีละ 1 – 2 ครั้ง แม้ว่าบ่อเกรอะจะยังไม่เต็มก็ตาม
  • หมั่นตรวจสอบการไหลของน้ำและคุณภาพน้ำทิ้งว่ามีความผิดปกติหรือไม่
  • ทำตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญด้านผลิตภัณฑ์ถังบำบัดน้ำเสีย

หากต้องการรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถดูได้ที่ https://www.dos.co.th/

[Top]

ฟันสวย ดูสุขภาพดี แค่ทำวีเนียร์

ปกติแล้วจะต้องตรวจสุขภาพฟันทุก 6 เดือนอยู่แล้ว เพื่อดูแลรักษาสุขภาพช่องปากของคุณอยู่เสมอ เพราะมันอาจเกิดปัญหาเรื้อรังจนทำให้เกิดการสูญเสียฟันได้ แต่สำหรับใครที่มีปัญหาฟันไม่สวย บิ่น หรือ แตกหัก รวมทั้งสีของฟันที่เหลือง ทำให้หลายคนไม่มั่นใจที่จะยิ้มหรือพบปะกับคนอื่น เพราะฉะนั้นจึงมีการคิดค้นนวัตกรรมแก้ข้อบกพร่องในส่วนนี้ นั่นคือ การทำวีเนียร์

วีเนียร์ คืออะไร

วีเนียร์ คือ การเคลือบผิวฟันโดยการใช้วัสดุที่คล้ายกับเคลือบฟันธรรมชาติ และ สีก็ใกล้เคียงกันมากด้วย การใช้นวัตกรรมตัวนี้จะช่วยให้ฟันของคุณสวยงามน่ามอง ลดความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดความเสียหายกับผิวฟันได้ หากคุณทำกับทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ จะสามารถใช้งานได้ยาวนาน ถึง 10-15 ปีเลยทีเดียว  สำหรับ วีเนียร์ นั้นมีอยู่ 2 ประเภท คือ เคลิอบฟันเทียมที่ทำโดยตรงในช่องปาก และ เคลือบฟันเทียมที่ทำนอกช่องปาก

การทำวีเนียร์ทั้ง 2 ประเภทนี้แตกต่างกันอย่างไร

เคลือบฟันเทียมที่ทำโดยตรงในช่องปาก เป็นการใช้วัสดุอุดฟันที่สีเหมือนกันโดยใช้สารยึดติดอุดปิดลงบนผิวหน้าฟัน เพื่อช่วยให้รูปร่างและสีของฟันเปลี่ยนแปลงได้ง่ายขึ้น ไม่ต้องกรอฟันมาก แต่ต้องเลือกทำกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น แต่การทำแบบนี้จะใช้เวลาทำนาน และ ถ้าทำวัสดุอุดขอบไม่ดี ก็อาจทำให้เกิดปัญหากลิ่นปากและเหงือกอักเสบได้

ส่วนการทำนอกช่องปากนั้น จะมีความเงางามเหมือนฟันธรรมชาติและสีก็มีความคงทนมากนั่นเอง

อย่างไรก็ตามก่อนการทำ คุณจะต้องดูแลสุขภาพช่องปากของคุณให้ดี โดยคุณจะต้องทำความสะอาดฟัน รักษาพันผุ และ เหงือกอักเสบก่อนที่จะทำ เป็นต้น

ทั้งหมดนี้ คือ เรื่องราวของ วีเนียร์ ที่คุณจะต้องทำความเข้าใจ เพื่อจะได้เลือกใช้บริการได้อย่างถูกต้องตอบสนองต่อความต้องการของคุณได้ แต่อย่างไรก็ตามก่อนที่จะตัดสินใจทำก็ควรปรึกษาแพทย์ให้ดีก่อน เพื่อให้คุณได้รับบริการที่ดีที่สุดเท่าทีจะเป็นได้

[Top]

One day trip เที่ยวกรุงเทพเดินทางสะดวกด้วยบีทีเอส

วันหยุดเสาร์-อาทิตย์แบบนี้ หากใครที่ยังไม่มีแพลนไปเที่ยวไหน เราจะพาทุกคนไปเที่ยวในกรุงเทพ การเดินทางสะดวกใกล้รถไฟฟ้าบีทีเอสมีมุมถ่ายรูปสวยๆ มากมาย ยังสะดวกด้วยมีรถไฟฟ้าให้บริการครอบคลุมเกือบทุกพื้นที่แล้วบอกเลยว่าคุณจะได้ที่เที่ยวถ่ายรูปใหม่ๆ แบกกล้องคู่ใจแล้วไปเที่ยวกันได้เลยค่ะ

Street Art ราชเทวี สถานีรถไฟฟ้า BTS ราชเทวี
เริ่มต้นกันด้วยที่แรก เอาใจคนรักการถ่ายภาพแนวสตรีทอาร์ต แม้ในกรุงเทพฯ จะมีสถานที่ถ่ายรูปแนวนี้อยู่เพียบ แต่มีอยู่หนึ่งจุดเช็คอินหนึ่งที่เราว่าน่าสนใจอยู่ไม่น้อย อย่างที่แถวBTS ราชเทวี จากเดิมสถานที่ตรงบริเวณนี้เคยเป็นที่รกร้างมากก่อน แต่ล่าสุดได้เนรมิตใหม่ วาดลวดลายศิลปะ แนวสตรีทตามฝาผนัง บอกเลยว่าเป็นอีกหนึ่งจุดในกรุงเทพฯ ที่ไม่ควรพลาด

สวนวชิรเบญจทัศ (จตุจักร) สถานีรถไฟฟ้า BTS หมอชิต
ไปกันต่อกับอีกหนึ่งที่เที่ยวกรุงเทพ แนวป่าในกรุง ฟีลธรรมชาติ ที่เราอยากจะแนะนำไปนั่งสูดอากาศเย็นๆ ก็คือ สวนวชิรเบญจทัศ หรือที่เราเรียกกันว่าสวนรถไฟ นั่นเอง บอกเลยว่านอกจากกิจกรรมปั่นจักรยานเล่นรอบสวนแล้ว ที่นี่ก็ยังมุมถ่ายรูปสวยๆ คล้ายสวนสาธารณะประเทศอังกฤษกันเลยทีเดียว

เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ สถานีรถไฟฟ้า BTS สะพานตากสิน
เปลี่ยนฟีลชวนกันไปถ่ายรูปตอนดึกกันบ้างดีกว่า เ เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ แม้ว่าสถานที่แห่งนี้จะเปิดตั้งแต่ตอนกลางวัน มีร้านอาหารมากมายให้เลือกนั่งชิล แต่ไฮไลท์หลักๆ แทบทั้งหมดของที่นี่จะอยู่ในโหมดกลางคืน ไม่ว่าจะเป็นการขึ้นชิงช้าที่สูงเว่อร์ๆ ชมวิวกรุงเทพ หรือการมานั่งสังสรรค์แฮงค์เอาท์ ต้องบอกเลยว่าที่ตอนกลางคืนถ่ายรูปสวยเช่นกันนะ จัดมุมองศาดีๆ ไม่ว่าจะหันหลังให้ชิงช้า หรือริมแม่น้ำเจ้าพระยา ก็ดูดีไปหมด

ตลาดนัดจตุจักร สถานีรถไฟฟ้า BTS หมอชิต
สำหรับสายที่ชอบเดินเที่ยวชิล ๆ ช้อปปิงเพลินๆ ขอแนะนำ “ตลาดนัดจตุจักร” ที่เที่ยวติด BTS อยู่ไม่ไกลจาก BTS หมอชิต เท่าไรนัก โดยเฉพาะช่วงวันหยุด ที่เที่ยวในกรุงเทพฯแห่งนี้จะเต็มไปด้วยร้านมากมาย ทั้งของกิน ของใช้ เสื้อผ้า หรือสายกรีนอาจจะลองไปเดินซื้อต้นไม้ที่ตลาดนัดจตุจักร บอกเลยว่า เดินไปกระเป๋าตังค์สั่นไปแน่นอน และที่สำคัญมีร้านเด็ด ๆ ให้ไปกินอีกเพียบ

แต่ละเส้นทางของรถไฟฟ้าบีทีเอสมีสถานที่ที่น่าสนใจแตกต่างกันออกไป หวังว่าจะมีสักเส้นทางที่โดนใจใครหลายคนกันบ้าง นับว่าเป็นอีกทางเลือกของการพาตัวเองไปพักผ่อนในกรุงเทพฯ แถมยังประหยัดเวลาในการเดินทางอีกด้วย ซึ่งทางรถไฟฟ้าบีทีเอสก็ได้มีโปรโมชั่นใหม่ยิ่งเดินทางมากก็ยิ่งได้พ้อยท์มาก มอบสิทธิพิเศษคือ ใช้จ่าย ค่าตั๋ว btsราคาที่ลงถูกกว่าการใช้เงินสดได้ เที่ยวเดินทางต่อสัปดาห์จะถูกคํานวณเป็นคะแนนสะสม เริ่มต้นที่ 4 เที่ยว/สัปดาห์เท่ากับ 150 พอยท์ จะต้องเดินทางผ่านเส้นทางสายสุขุมวิท (สถานีหมอชิตถึงสถานีอ่อนนุช) และ/หรือ เส้นทางสายสีลม (สถานีสนามกีฬาแห่งชาติถึงสถานีสะพานตากสิน) นับตั้งแต่สถานีแรกเข้า อย่างน้อย 5 สถานีต่อเที่ยว สามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับโปรโมชั่นได้ที่ https://www.bts.co.th/promotion/bts-challenge.html

[Top]