วิธีป้องกันและรักษา เพื่อบอกลาออฟฟิศซินโดรม
เชื่อว่าหนึ่งในอาการที่ใครหลายคนในวัยทำงานมักจะพบเจอกันเลยก็คือ อาการปวดหลัง ปวดเมื่อยตามเนื้อตามตัวในบริเวณต่างๆ ซึ่งอาการเหล่านี้เป็นหนึ่งในกลุ่มอาการออฟฟิศซินโดรมที่นิยมเป็นกันในปัจจุบันนั่นเอง ดังนั้นวันนี้เราจะพามาดูกับวิธีการป้องกันและรักษาเพื่อบอกลากับกลุ่มอาการออฟฟิศซินโดรมเหล่านี้กัน
ออฟฟิศซินโดรม
ก่อนที่เราจะไปดูวิธีการป้องกัน และรักษา เรามาทำความรู้จักกับออฟฟิศซินโดรมกันเบื้องต้นก่อนดีกว่า ออฟฟิศซินโดรม เป็นกลุ่มอาการปวดกล้ามเนื้อ และเยื่อพังผืด มักเกิดจากการใช้กล้ามเนื้อมัดเดิมในอิริยาบทเดิมๆ ซ้ำๆ ต่อเนื่องกันหลายชั่วโมงเป็นเวลานาน เช่น การนั่งทำงานหน้าคอมพิวเตอร์ โดยไม่ลุก หรือเปลี่ยนท่าทางอิริยาบท, การขับรถระยะทางไกลติดต่อกันหลายชั่วโมง, หรือ การก้มเล่นโทรศัพท์ด้วยท่าทางเดิมเป็นเวลานาน เป็นต้น
วิธีการป้องกันออฟฟิศซินโดรม
ตามที่กล่าวไปข้างต้นว่าออฟฟิศซินโดรมนั้นเกิดจากการที่ใช้งานกล้ามเนื้อมัดเดิมซ้ำๆ ต่อเนื่องกันเป็นระยะเวลานาน ดังนั้นวิธีการป้องกันไม่ให้เกิดอาการออฟฟิศซินโดรมนั่นก็คือ การหมั่นขยับ ปรับเปลี่ยนท่าทางอิริยาบทอยู่เสมอ หากต้องนั่งทำงานเป็นระยะเวลานาน ควรให้ร่างกายและกล้ามเนื้อได้พักจากการใช้งานอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นจากการทำงาน การขับรถ หรือแม้กระทั่งการนั่ง หรือการยืน
วิธีการรักษาออฟฟิศซินโดรม
สำหรับคนที่เข้าข่ายว่าตัวเองจะเป็นออฟฟิศซินโดรมสามารถรักษาดูแลตัวเองได้ด้วยการหมั่นออกกำลังกาย ทำกายบริหารอยู่เป็นประจำ เพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อ แต่หากมีอาการออฟฟิศซินโดรมที่รุนแรงและเรื้อรัง อาจจะต้องมีการไปพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง เพื่อตรวจทำการรักษาอีกครั้งหนึ่ง
หนึ่งในวิธีการรักษาออฟฟิศซินโดรมที่เราอยากแนะนำก็คือ การทำกายภาพบำบัด เนื่องจากว่าเป็นการรักษาที่ช่วยลดความเสี่ยงในอาจเกิดขึ้นกับตัวเรา ไม่ว่าจะเป็นความเสี่ยงจากการผ่าตัด หรือความเสี่ยงด้านอวัยวะภายในจากการทานยา เป็นต้น แถมหากเราดูแลตัวเองอย่างดีหลังการรักษา ผลการรักษาก็ยังมีประสิทธิภาพที่ยาวนานอีกด้วย
ซึ่งการรักษาออฟฟิศซินโดรมจะมีประสิทธิภาพที่สุดก็ต่อเมื่อมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญคอยให้คำปรึกษา และทีมนักกายภาพบำบัดที่มีประสบการณ์คอยดูแลเรื่องการทำกายภาพบำบัดให้กับเรา
สนใจปรึกษา และดูรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับการรักษาออฟฟิศซินโดรมด้วยการทำกายภาพบำบัด ได้ที่ https://www.rehabcareclinic.com/
4 วิธีเลือกประกันชีวิตอย่างไรให้คุ้มค่าและคุ้มครองคุณ
ใครหลายคนที่กำลังมองหาประกันชีวิตไว้ ให้คุ้มครองชีวิตและเป็นหลักประกันที่มั่นคงให้ครอบครัว เรามีวิธีเลือกประกันชีวิตแบบคุ้มค่ามาฝากกันค่ะ เรียกได้ว่าอ่านจบปุ๊บ แทบจะตัดสินใจได้กันเลยทีเดียว มีวิธีไหนบ้างนั้นที่สามารถรู้ได้ว่าประกันชีวิตที่คุณสนใจนั้นคุ้มค่าและเหมาะกับคุณ มาดูไปพร้อมกันเลยค่ะ
1.บริษัทประกันก็มีความสำคัญ
บริษัทประกันภัยขนาดใหญ่ ยิ่งหากมีเครือข่ายระดับโลก ย่อมมีความได้เปรียบหลายๆ ด้าน ทั้งในเรื่องของความน่าเชื่อถืออีกทั้งยังไม่ต้องกังวลเรื่องมาตรฐานการเคลม การบริการ อีกทั้งยังไม่ต้องกังวลเรื่องการล้มละลาย และดูแลเราได้อย่างต่อเนื่องอีกด้วยค่ะ
2.เช็ครีวิว ว่าเคลมง่าย ไม่ตุกติก
เรื่องการเคลมสินไหมเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่หลายคนกังวลใจ ดังนั้นการเช็ครีวิวของผู้ใช้บริการเกี่ยวกับการเคลมค่าสินไหมของบริษัทประกันนั้นๆ ว่าเป็นอย่างไร สามารถเคลมได้ง่ายหรือไม่ เพราะหากบริษัทนั้นๆ มีเคสที่เกิดปัญหาน้อย แสดงว่าระบบการจัดการและความเที่ยงตรงของบริษัทมีประสิทธิภาพที่ดี เพื่อที่จะได้หมดกังวลเรื่องการเคลมสินไหมค่ะ
3.Service อย่ามองข้าม
ประกันภัยหลายบริษัทที่ก่อนที่เราซื้อกรมธรรม์ให้บริการดี แต่พอจ่ายเบี้ยครบแล้วมักจะติดต่อยาก การบริการหลังการขายเป็นอีกหนึ่งจุดที่ช่วยตัดสินใจให้เลือกซื้อประกันได้คุ้มค่า เพราะเมื่อใดที่เกิดปัญหา โดยมีบริษัทประกันพร้อมให้บริการ ตอบคำถามข้อสงสัยได้เป็นอย่างดีและรวดเร็ว จะช่วยให้รู้สึกอุ่นใจได้มากทีเดียว เราจึงควรต้องเช็คเรื่องการบริการให้ดีค่ะ
4.เลือกบริษัทที่มีแผนประกันและเบี้ยประกันที่หลากหลาย
เพราะความต้องการและของแต่ละคนมีไม่เหมือนกัน จึงทำให้การเลือกทำประกันแบบไหนดี ต้องดูทั้งความต้องการและสภาพคล่องทางการเงินของแต่ละคนร่วมด้วย บริษัทประกันที่มีแผนประกันและเบี้ยที่หลากหลายมารองรับ เพื่อตอบโจทย์ทั้งความต้องการและสภาพคล่องทางการเงินของแต่ละคนได้อย่างเหมาะสม ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่น่าสนใจในการตัดสินใจเลือกทำประกันชีวิตค่ะ
เป็นอย่างไรบ้างคะ กับเทคนิคการเลือกประกันชีวิตเชื่อว่า บทความนี้ จะเป็นประโยชน์ต่อคนที่กำลังจะทำประกันชีวิตหรือต่อประกันชีวิต ซึ่งการทำประกันชีวิตนี้เป็นเรื่องของผลประโยชน์ตัวเราเอง จึงต้องศึกษารายละเอียดและรอบคอบมากเป็นพิเศษ เพื่อผลประโยชน์ของตัวเราเองและผู้ที่จะได้รับผลประโยชน์ร่วมกันนะคะ หากสงสัยหรืออยากสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
ขอแนะนำ KWI คิงไว ประกันชีวิต ที่เปลี่ยนประกันชีวิตให้ง่ายสำหรับคุณค่ะ
สาเหตุที่ต้องเลือกติดตั้งถังบำบัดน้ำเสียให้กับบ้านของเรา
หลายคนเคยสงสัยไหมว่าการติดตั้งถังบำบัดน้ำเสียภายในบ้านเรือน เป็นสิ่งที่จำเป็นหรือไม่ หรือทำไมบ้านเรือนของเราต้องติดตั้งถังบำบัดน้ำเสียด้วย ดังนั้นวันนี้เราจะพามาดูกันว่าสาเหตุที่ต้องเลือกติดตั้ง ถังบำบัดน้ำเสีย ให้กับบ้านเรือนของเรานั้นมีอะไรบ้าง
การติดตั้งถังบำบัดน้ำเสีย
โดยทั่วไปแล้วเรามักจะเห็นการติดตั้งถังบำบัดน้ำเสียกับโรงงาน อาคาร หมู่บ้าน สำนักงานต่างๆ ที่มีการใช้น้ำในปริมาณมากๆ เนื่องจากว่าเป็นการติดตั้งที่คุ้มค่ากับราคาค่าใช้จ่ายในส่วนต่างๆ อีกทั้งถังบำบัดน้ำเสียก็ยังอำนวยความสะดวกได้อย่างดีเยี่ยม ช่วยจัดการเรื่องของระบบสาธารณูปโภคให้กับสถานที่ต่างๆ และนอกจากถังบำบัดน้ำเสียจะสามารถติดตั้งได้ตามที่ใหญ่ๆ ที่มีผู้คนใช้น้ำในปริมาณมากแล้ว ยังสามารถติดตั้งในบ้านเรือนทั่วไปได้เช่นเดียวกัน
การติดตั้งถังบำบัดน้ำเสียในบ้านเรือน
การติดตั้งถังบำบัดน้ำเสียในบ้านเรือนนั้นก็สามารถช่วยอำนวยความสะดวกได้ไม่ใช่น้อย ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการจัดการระบบสาธารณูปโภคภายในบ้านเรือนของตนเอง และยังช่วยจัดการระบบสาธารณูปโภคให้กับชุมชนหรือบ้านใกล้เรือนเคียงอีกด้วย โดยสาเหตุที่ต้องเลือกติดตั้งถังบำบัดน้ำเสียให้กับบ้านเรือนของเรานั้น มีดังต่อไปนี้
- ช่วยอำนวยความสะดวกเรื่องน้ำในบ้านเรือน เช่น ท่อน้ำไม่ส่งกลิ่นอันไม่พึงประสงค์
- ช่วยอำนวยความสะดวกให้กับชุมชน เช่น น้ำเสียที่ปล่อยจากบ้านเรือนของเรามีคุณภาพที่ดีกว่าน้ำเสียโดยทั่วไป, ลดการเกิดมลภาวะทางน้ำ, ช่วยให้ชุมชนน่าอยู่อาศัย, และ ไม่ก่อให้เกิดผลเสียต่อร่างกายตัวเองและคนรอบข้าง
- น้ำที่ถูกปล่อยไปสามารถนำไปใช้ในทางภาคเกษตรได้
- ช่วยลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น เช่น มีสัตว์เข้ามารบกวนภายในบ้านผ่านทางท่อระบายน้ำ หรือ ลดความเสี่ยงที่อาจเกิดเหตุการณ์ท่อระบายน้ำตันได้
สาเหตุที่ต้องเลือกติดตั้งถังบำบัดน้ำเสียในบ้านเรือนที่เรายกมาฝากกันในวันนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น แท้จริงแล้วถังบำบัดน้ำเสียยังสามารถช่วยหรืออำนวยความสะดวกให้กับบ้านเรือนและระแวกบ้านของเราได้อีกมากมาย หากสนใจข้อมูลหรือรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถเข้าไปดูได้ที่เว็บไซต์ https://www.dos.co.th/
[Top]มาทำความรู้จักกับ ประกันชีวิต ประกันที่เป็นมากกว่าการคุ้มครองชีวิตกัน
ประกันชีวิต คือ สินค้าการเงินชนิดหนึ่ง ที่เป็นสัญญาระหว่างบริษัทประกัน (ผู้รับประกัน) กับผู้สมัครทำประกัน (ผู้เอาประกัน) ว่าบริษัทประกันจะจ่ายเงินจำนวนหนึ่งตามสัญญาเมื่อเกิดเหตุที่ระบุในสัญญาขึ้นในอนาคตไม่ว่าจะเป็นการเสียชีวิตหรือมีชีวิตอยู่จนครบตามสัญญา ซึ่งสามารถนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการวางแผนเงินได้หลากหลาย ทั้งเรื่องของการบริหารความเสี่ยง วางแผนการเก็บออม ช่วยลดหย่อนภาษี หรือวางแผนมรดกได้
ประกันชีวิต สามารถเข้าใจได้ง่ายๆว่า เป็นการซื้อการดูแลให้กับตัวเองล่วงหน้า สำหรับอันตรายต่างๆที่จะเกิดขึ้นที่ อาจทำให้เสียชีวิต พิการ หรือเสียอวัยวะใดๆไป หรือแม้แต่ยามแก่ชราที่เสียรายได้ไป ช่วยให้เราบริหารจัดการเงินได้ดีขึ้น เพราะเราจะมีวงเงินของประกันชีวิต ที่เข้ามาจ่ายให้เราตามที่ทำประกันไว้ หากเราเสียชีวิตไป ครอบครัวหรือผู้รับผลประโยชน์จะมีเงินก้อนมากพอ ที่จะตั้งหลัก โดยประกันชีวิต มี ถึง 4 รูปแบบ ดังต่อไปนี้
1.ประกันชีวิต แบบชั่วระยะเวลา – ประกันในลักษณะนี้ เป็นการจ่ายประกันในลักษณะเบี้ยจ่ายทิ้ง คือจ่ายแค่เฉพาะส่วนความคุ้มครองเท่านั้น หากครบกำหนด เราไม่เป็นอะไร ก็จะเสียประกันไปฟรีๆ
2.ประกันชีวิต แบบตลอดชีพ – ประกันชีวิตแบบนี้ เป็นการจ่ายเบี้ยประกันในชั่วระยะเวลาหนึ่ง อาจจะเป็น 10 ปี 20 ปี แต่คุ้มครองเราไปตลอดทั้งชีวิต เมื่อเราอายุครบกำหนดที่ระบุเอาไว้ เราก็จะได้ ทุนประกันกลับคืนมา ประกันแบบนี้แม้จะแพวกว่า พวก ประกันชีวิตแบบชั่วะยะเวลา แต่ยังถือว่ามีเบี้ยประกันที่ถูก
3.ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ – การจ่ายเบี้ยประกัน แล้วได้ รับเงินคืนมากกว่าเบี้ยประกันที่จ่ายไป แม้จะมีราคาเบี้ยประกันที่แพง แต่ ประกันชีวิตแบบนี้ ได้รับความนิยมมากที่สุด
4.ประกันชีวิต แบบบำนาญ – ประกันชีวิตแบบนี้ เราจะจ่ายเบี้ยประกันจนถึงอายุ 50-60 ปีเท่านั้น หลังจากอายุครบ เราจะได้เงินคืนมาในทุกๆปี แม้ผลตอบแทนจะไม่ได้เยอะแต่ก็สามารถช่วยให้เราบริหารเงินยามเกษียณได้เป็นอย่างดี
พอจะเข้าใจกันบ้างไหมคะว่า ประกันชีวิตคืออะไร แล้วลองดูนะคะว่าตัวเรานั้นเหมาะสมกับประชีวิตแบบไหน ซึ่งเชื่อว่าการทำประกันชีวิตจะไม่มีสูญเปล่าอย่างแน่นอน หากผู้ผ่านท่านใดมีความสนใจอยากที่จะเริ่มทำประกันชีวิตละก็ ขอแนะนำประกันชีวิตจาก คิง ไว ประกันชีวิต ที่จะเปลี่ยนการทำประกันชีวิตให้เป็นเรื่องง่ายสำหรับคุณ สอบถามข้อมูลหรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.kwilife.com/
น้ำมันพืชควรบริโภคปริมาณเท่าไหร่จึงจะมีประโยชน์แก่ร่างกาย
น้ำมันพืช ผลิตภัณฑ์ที่อยู่คู่ครัวเรือนไทยเรียกได้ว่าแทบจะทุกบ้านเรือน เนื่องจากว่าเป็นวัตถุดับหลักๆ ที่ใช้ในการปรุงหรือประกอบอาหารประเภทต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นจานผัด จานทอด หรือเป็นส่วนผสมในเมนูอาหารต่างๆ ก็ทำได้เช่นเดียวกัน
แต่อย่างที่ทราบกันว่าการบริโภคน้ำมันพืชในปริมาณที่มากเกินไปอาจจะทำให้เกิดอันตรายต่อร่างกายได้ และในทางกลับกันการบริโภคน้ำมันพืชในปริมาณน้อยเกินไปก็ทำให้เกิอันตรายต่อสุขภาพได้เช่นเดียวกัน แล้วปริมาณการบริโภคน้ำมันพืชที่พอดีอยู่ตรงไหนหล่ะ
ดังนั้นเราจะพามาดูกันว่าจริงๆ แล้วเราควรบริโภคน้ำมันพืชปริมาณมากหรือน้อยแค่ไหนจึงจะอยูในปริมาณที่พอดีเหมาะสม และหากบริโภคน้อยหรือมากจนเกินไปจะส่งผลอะไรบ้าง หากเราพร้อมแล้วก็ไปดูกันเลย
การบริโภคน้ำมันพืชในปริมาณที่น้อยจนเกินไป
การบริโภคน้ำมันพืชในปริมาณที่น้อยเกินไป อาจทำให้ร่างกายได้รับพลังงานไม่เพียงพอและน้ำหนักร่างกายน้อยกว่าคนปกติ นอกจากนี้อาจทำให้ได้รับวิตามินที่จำเป็นต่อร่างกายไม่เพียงพอ ส่งผลให้เกิดโรคขาดวิตามินดังกล่าวได้ รวมไปถึงการได้รับกรดไขมันที่จำเป็นต่อร่างกายไม่เพียงพอ ซึ่งกรดไขมันที่จำเป็นดังกล่าว มีผลช่วยให้ระบบการทำงานต่างๆ ของร่างกาย เช่น กรดไลโนเลอิกสามารถลดปริมาณคอเลสเตอรอลในเลือด โดยไปช่วยละลายคอเลสเตอรอล จึงมีประโยชน์ในการป้องกันโรคหัวใจและโรคหลอดเลือดบางชนิด
การบริโภคน้ำมันพืชในปริมาณที่มากจนเกินไป
หากบริโภคน้ำมันพืชมากเกินไป ร่างกายจะได้รับพลังงานมากเกินกว่าที่ร่างกายต้องการ พลังงานส่วนเกินดังกล่าวจะถูกเปลี่ยนเป็นไขมันสะสมในร่างกาย เป็นผลให้น้ำหนักร่างกายสูงเกินเกณฑ์ และเกิดโรคอ้วนได้ นอกจากนี้ผู้ใหญ่ที่มีอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป มีการรับประทานอาหารที่มีน้ำมันสูงกว่าร้อยละ 40 ของแคลอรีทั้งหมด โดยน้ำมันที่รับประทานนั้นเป็นพวกมีกรดไขมันอิ่มตัวสูง อาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เลือดมีปริมาณคอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์สูงกว่าปกติ ซึ่งเป็นผลมาจากไขมันอิ่มตัวไปกระตุ้นการผลิต LDL- คอเลสเตอรอล ก่อให้เกิดโรคหัวใจ และหลอดเลือดได้ง่าย
การบริโภคน้ำมันพืชในปริมาณที่พอดี
การบริโภคน้ำมันพืชในปริมาณที่พอดีนั้นควรคำนึงถึงสารอาหารที่ร่างกายต้องการในแต่เป็นหลัก หากบริโภคน้อยกว่านั้นก็ถือว่าต่ำเกินไปและหากบริโภคมากกว่านั้นก็ถือว่าสูงจนเกินความจำเป็น ดังนั้นควรบริโภคให้อยู่ในบริมาณที่พอเหมาะพอดีกับความต้องการของร่างกาย และไม่เพียงแต่น้ำมันพืชการบริโภคสารอาหารประเภทอื่นๆ ก็ควรให้อยู่ในเกณฑ์ที่พอดีกับความต้องการของร่างกายด้วยเช่นเดียว เพื่อให้ร่างกายมีความแข็งแรงและลดความเสี่ยงในการเกิดอันตรายต่างๆ แก่ร่างกาย
[Top]