เดือน: มกราคม 2023

มาเช็คกัน คุณรู้จักเวชศาสตร์ฟื้นฟูดีหรือยัง

เวชศาสตร์ฟื้นฟู ชื่อนี้อาจจะยังไม่คุ้นหูมากเท่าไหร่นัก แต่บางคนก็อาจจะรู้จัก แต่คุณรู้จักเวชศาสตร์ฟื้นฟูดีแค่ไหน และเวชศาสตร์ฟื้นฟูนั้นมีความเหมาะสมกับผู้ป่วยในกลุ่มไหนบ้าง เราจะพาไปทำความรู้จักกัน

เวชศาสตร์ฟื้นฟูคืออะไร?

เวชศาสตร์ฟื้นฟู คือ แผนกหนึ่งที่มีหน้าที่คอยดูแล รวมไปถึงการให้การรักษาด้านการฟื้นฟูสภาพร่างกายของผู้ป่วยที่มีอาการต่างๆ อาทิ มีอาการปวด อาการติดขัดเมื่อเคลื่อนไหว กล้ามเนื้ออ่อนแรง  มีความผิดปกติทางระบบประสาท หรือการออกกำลังกาย เพื่อให้ร่างกายกลับมามีประสิทธิภาพเหมือนเดิมอีกหรือใกล้เคียงปกติมากที่สุด

โดยการมีวิธีการทางเวชศาสต์ฟื้นฟูนั้นจะมีตั้งแต่การใช้ยา ฉีดสเตียรอยด์ ร่วมกับการทำหัตถการ การใช้เครื่องมือเฉพาะทางกายภาพบำบัด อาทิ shock wave, ultrasound diathermy, laser therapy การออกกำลังกายเฉพาะ การใช้อุปกรณ์ช่วยเหลือหรือทดแทน การฝังเข็ม ซึ่งวิธีทางการเวชศาสตร์ฟื้นฟูไม่ได้มุ่งหวังเพียงให้ผู้ป่วยร่างกายกลับมามีประสิทธิภาพเหมือนเดิมอีกหรือใกล้เคียงปกติมากที่สุดเพียงอย่างเดียว แต่ยังช่วยป้องกันอาการต่างๆ กลับมาเป็นซ้ำด้วย

เวชศาสตร์ฟื้นฟูเหมาะกับใคร?

เวชศาสตร์ฟื้นฟู จัดได้ว่าเป็นการรักษาที่เหมาะกับผู้ป่วยในกลุ่มที่มีอาการเรื่องของกล้ามเนื้อ เอ็น กระดูกและข้อ ออฟฟิศซินโดรม กระดูกทับเส้น ข้อเสื่อม การบาดเจ็บจากการเล่นกีฬา ความผิดปกติของระบบประสาทและสมอง แขนและขาอ่อนแรง ชา มีปัญหาการกลืน ซึ่งในการรักษาอาการต่างๆ เหล่านี้ จะมีแพทย์เวชศาสตร์ฟื้นฟู ซึ่งมีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางในเรื่องของการบำบัดและดูแลผู้ป่วย จะทำหน้าที่ในการตรวจประเมินอาการผู้ป่วย ไปจนถึงการวางแผนเพื่อดูแลและฟื้นฟูสมรรถภาพของผู้ป่วย หลังจากนั้นจะมีพยาบาลเวชศาสตร์ฟื้นฟู ซึ่งถือได้ว่าเป็นทีมที่มีหน้าที่ฟื้นฟูผู้ป่วย ทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ คอยให้ความรู้หรือแนะนำ และที่สำคัญคือการติดตามและรายงานอาการของผู้ป่วยให้กับแพทย์เวชศาสตร์ฟื้นฟู

เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งศาสตร์ที่น่าสนใจ ถือว่าเป็นอีกหนึ่งทางเลือกของผู้ป่วยที่จะใช้ในการรักษาอาการบาดเจ็บที่เป็นอยู่ และช่วยป้องกันอาการต่างๆ ที่ผู้ป่วยเป็นไม่ให้กลับมาเป็นซ้ำอีก เชื่อได้ว่าจากบทความนี้ใครหลายคนคงจะรู้จักและเข้าใจเวชศาสตร์ฟื้นฟูมากยิ่งขึ้น หากสนใจเรื่องราวเพิ่มเติมของเวชศาสตร์ฟื้นฟู สามารถดูได้ที่ https://www.rehabcareclinic.com/

ซื้อประกันออมทรัพย์อย่างไรให้เหมาะกับจังหวะชีวิต

รู้กันหรือไม่ว่าความสำคัญของการซื้อประกันออมทรัพย์ ไม่ได้มีความสำคัญแค่ซื้อประกันออมทรัพย์ในตอนที่เราอยากซื้อเท่านั้น แต่การเลือกซื้อประกันออมทรัพย์ ให้เหมาะกับจังหวะช่วงชีวิตเราก็เป็นเรื่องที่สำคัญ เพราะในแต่ละวัย แต่ละจังหวะชีวิตนั้นคนเราจะมีความต้องการและความจำเป็นที่แตกต่างกันออกไปค่ะ วัยใดบ้างที่ควรซื้อประกันออมทรัพย์มาดูกันเลยค่ะ

1.วัยตั้งต้น วัยนี้เป็นวัยแรกเริ่มของการทำงาน เป็นการเริ่มการเข้าสู่ชีวิตจริง ที่จะเข้าสู่การทำงานแบบ 100% ซึ่งในวัยนี้เราจะมีสวัสดิการจากการทำงานเข้ามาช่วย อาทิ ประกันสังคม ประกันกลุ่มของบริษัท ซึ่งประกันเหล่านี้มักจะครอบคลุมทั้งในส่วนของอุบัติเหตุและการเจ็บป่วย การเริ่มทำประกันออมทรัพย์ในวันนี้จึงควรเน้นไปที่ ประกันออมทรัพย์แบบคุ้มครองชีวิต เพื่อสร้างวินัยทางการเงินให้กับตัวเองและช่วยในเรื่องของการลดหย่อนภาษี

2.วัยเริ่มสร้าง เมื่อเราตั้งหลักตัวเองได้สักระยะ สิ่งที่เรามักทำต่อไปนั่นก็คือการเริ่มสร้างครอบครัวของตัวเอง ซึ่งวัยนี้จะเริ่มมีภาระ ทรัพย์สิน และที่สำคัญมีคนที่อยู่ข้างหลังเรา การสร้างความมั่นคงในชีวิตจึงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ประกันชีวิตออมทรัพย์ของวัยนี้ ควรต้องเน้นประกันออมทรัพย์ที่พ่วงการคุ้มครองชีวิตเพิ่มเข้าไปด้วย เพื่ออนาคตของคนในครอบครัว

3.วัยแห่งความมั่นคง วัยนี้เป็นวัยที่เรียกได้ว่าอะไรหลายๆอย่างนั้นลงตัวแล้ว และเป็นวัยที่เราจะได้ทำการเก็บเงินเพื่อใช้จ่ายในอนาคตหรือที่มักเรียกกันว่าการวางแผนชีวิตช่วงบำนาญ ซึ่งประกันออมทรัพย์ที่เหมาะสมคือประกันออมทรัพย์ระยะยาวได้ผลตอบแทนสูงค่ะ

4.วัยบั้นปลายของชีวิต วัยนี้เรียกได้เป็นช่วงท้ายของชีวิตคนเรา เริ่มมีการวางแผนส่งมอบมรดกที่มีให้ครอบครัว ลูก ประกันออมทรัพย์ที่เหมาะสมกับวัยนี้คงเป็นไปไม่ได้นอกเสียจาก ประกันชีวิตแบบคุ้มครองชีวิตที่จะมอบผลประโยชน์การคุ้มครองได้อย่างเต็มที่ค่ะ

เรียกได้ว่าทั้ง 4 วัย มีความจำเป็นที่แตกต่างกันออกไป ทำให้การซื้อประกันออมทรัพย์ที่มีความเหมาะสมกับแต่ละช่วงวัยนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญ เพื่อที่จะได้ประกันออมทรัพย์ที่ตอบโจทย์มากที่สุดค่ะ หากผู้อ่านท่านใดมีความสนใจอยากทำประกันออมทรัพย์ขอแนะนำ KWI Life ที่มอบผลตอบแทนสูงสุดให้คุณ บริการด้วยความห่วงใย ใส่ใจคุณทุกเวลาค่ะ

[Top]

เทคนิคทำตาสองชั้น แบบไหนที่เหมาะกับคุณ

การทำตาสองชั้น เป็นการศัลยกรรมตาชนิดหนึ่งที่นิยมทำกันในปัจจุบัน แพทย์จะทำการผ่าตัดบริเวณเปลือกตาบน ซึ่งแพทย์จะนำหนังตารวมไปถึงไขมันส่วนเกินตรงเปลือกออก แล้วค่อยเย็บชั้นตาให้สวยงามกว่าเดิม การทำตาสองชั้นมีเทคนิคที่หลากหลาย แต่จะรู้ได้อย่างไรว่าเทคนิคไหนเหมาะกับคุณ วันนี้เรามีคำตอบให้ค่ะ

1.การเย็บแบบ 3 จุด เทคนิคนี้ เป็นการทำตาสองชั้น โดยการสร้างชั้นตาจากการกำหนดจุด 3 ตำแหน่ง เพื่อให้เกิดชั้นตาขึ้นมา ไม่มีการกรีด จะใช้ไหมเย็บเพื่อให้เกิดรอยพับตาที่เป็นธรรมชาติ การใช้เทคนิคนี้จะเหมาะกับคนที่ต้องการตาสองชั้น โดยที่ไม่มีแผลจากการกรีด คนตาเล็ก ตาชั้น ตาหลบใน หนังตาบาง ไม่มีหนังตาเกิน

2.การกรีดตาสั้น หรือเทคนิคการกรีดแผลเล็ก เทคนิคนี้เป็นการทำตาสองชั้น ซึ่งเป็นแผลเปิดที่มีขนาดเล็กโดยไม่มีการตัดหนังตาหรือไขมันเปลือกตาที่เกินออก และใช้ไหมเย็บตา เพื่อให้เกิดชั้นตาที่คมชัด เป็นธรรมชาติ โดยการเลือกใช้เทคนิคนี้จะเหมาะกับคนที่มีตาชั้นเดียว เปลือกผิวตาบาง ตาหลบใน เนื้อเปลือกตาน้อย รวมถึงมีไขมันเปลือกตาน้อย

3.การกรีดตายาว เทคนิคนี้เป็นการกรีดตาสองชั้น พร้อมตกแต่งหนังตาและไขมันเปลือกตาเกินออก ซึ่งเทคนิคนี้เลือดจะออกน้อย ไม่ค่อยบวมช้ำหลังทำ และลดระยะเวลาในการพักฟื้นได้เป็นอย่างดี ซึ่งจะมีการตกแต่งหนังตาก่อนเย็บชั้นตาตามที่ได้ออกแบบไว้ โดยเทคนิคนี้เหมาะกับคนที่มีตาสองชั้น ตาหลบใน ภาวะที่หนังตาตกทับดวงตา เปลือกตามีความหย่อนคล้อย หรือไขมันเยอะ เปลือกตาหนาหรือการแก้ไขตาสองชั้นที่เคยทำมาแล้ว

เรียกได้ว่าเทคนิคในการทำตาสองชั้น ไม่ได้เป็นเพียงการเลือกในแบบที่เราต้องการ แต่ยังเป็นการเลือกจากสภาพปัญหาที่เราเจอเพื่อให้ในการทำตาสองชั้นนั้นออกมาได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด และควรเลือกคลินิกที่คุณภาพได้มาตรฐาน มีใบรับรองอย่างถูกต้อง สะอาดปลอดภัยและตรวจสอบได้ มีประสบการณ์ด้านการศัลยกรรมโดยเฉพาะ อิสสวีร์คลินิกมีประสบการณ์การผ่าตัดที่ มากกว่า 2,000 เคส คุณหมอสามารถวิเคราะห์รูปหน้าในแต่ละคนได้ว่าคุณเหมาะสมกับการเสริมจมูกแบบไหน เหลาซิลิโคนใหม่ทุกเคส เพื่อให้ผลลัพธ์ออกมาสวยตามต้องการ

[Top]