สิ่งที่ต้องรู้เกี่ยวกับเงื่อนไขประกันสุขภาพ
ในหลายครั้งเรื่องของการทำประกันสุขภาพ เรามักจะมองแต่เรื่องของความคุ้มครองที่เราจะได้รับจากการทำประกันสุขภาพและผลตอบแทนที่จะได้รับ และค่าใช้จ่ายในการชำระค่าเบี้ยประกันในแต่ละปี จนทำให้เราอาจลืมมองถึงสิ่งที่สำคัญเกี่ยวกับการทำประกันสุขภาพ นั้นก็คือ เงื่อนไขและรายละเอียดเชิงลึกของการทำประกันสุขภาพ เป็นสิ่งที่หลายคนไม่ชอบที่จะอ่านมากที่สุด เนื่องจากมีเนื้อหาที่ค่อนข้างเยอะและมักจะเขียนแล้วเข้าใจยากเนื่องจากใช้คำศัทพ์ที่ค่อนข้างเฉพาะเจาะจงมาก ยิ่งเราไม่ได้เรียนในทางกฏหมายก็อาจทำให้เราไม่เข้าใจได้เลย ซึ่งในวันนี้เราได้ทำการรวบรวมเงื่อนไขของการทำประกันสุขภาพที่คุณต้องรู้มาฝากกันครับ ซึ่งเงื่อนไขนี้จะเป็นเงื่อนไขที่แทบเรียกได้ว่าต้องมีในทุกประกันสุขภาพ
1. ประกันสุขภาพ จะไม่คุ้มครองโรคที่เราเป็นมาก่อน
ในการทำประกันสุขภาพ เราจะไม่สามารถเบิกค่ารักษาพยาบาลจากโรคที่เคยเป็นมาก่อนได้ โดยบริษัทประกันจะทำการตรวจเช็คประวัติการรักษาของเราจากโรงพยาบาลได้
2. ประกันสุขภาพจะไม่คุ้มครองในทันที
โดยทั่วไปแล้ว ในการทำประกันสุขภาพ สิ่งที่เราต้องรู้ก็คือ ผลของความคุ้มครองจะยังไม่เริ่มในทันที จะต้องรอยคอยเป็อย่างน้อย 30 วัน โดยในช่วงนี้เราจะไม่สามารถขอเคลมค่ารักษาพยาบาลได้
3. เงื่อนไขของประกันสุขภาพ มีข้อยกเว้นเสมอ
หากเรายังไม่เคยทำประกันสุขภาพ ข้อนี้คือสิ่งสำคัญมาก เพราะในประกันสุขภาพแม้ว่ามันจะคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลได้จากโรคแทบทุกประเภท แต่ก็มีบางอย่างที่เราไม่สามารถขอเคลมได้ เช่น การรักษาที่เกี่ยวข้องกับความสวยความงาม การรักษาสิว ฝ้า กระ หรือการปลูกผม เป็นต้น
4. การทำประกันสุขภาพต้องเปิดเผยข้อมูลตามจริง
ในการทำประกันสุขภาพ บ่อยครั้งที่เรามักจะโดนให้ตอบคำถามเรื่องสุขภาพ แต่ถ้าหากทางบริษัมไม่ได้ถามแต่มีให้กรอกข้อความ สิ่งที่เราควรทำคือ กรอกข้อมูลตามความจริง เนื่องจากหากเราได้ทำประกันสุขภาพไปแล้ว บริษัทสามารถรู้ว่าเรากรอกข้อมูลไม่ตรงกับความเป็นจริง โอกาสที่จะโดนบอกเลิกสัญญามีสูงมาก
เราหวังว่าบทความนี้จะช่วยทำให้หลายคนได้เข้าใจถึงสิ่งที่เป็นเงื่อนไขที่สำคัญของการทำประกันสุขภาพกันมากขึ้น และสำหรับใครที่กำลังมองหาประกันสุขภาพที่สามารถทำได้ง่ายแบบออนไลน์ เราขอแนะนำ ฟินชัวรันส์ แบบประกันสุขภาพจากแมนูไลฟ์ ประกันสุขภาพ ที่ให้ความคุ้มครองครบ จะอุบัติเหตุเล็กใหญ่ โรคร้ายต่างๆ โรคฮิตทั่วไป มะเร็งทุกระยะ รวมถึง50 โรคร้ายแรง ก็พร้อมดูแลด้วยค่ารักษาแบบเหมาจ่ายสูงสุดถึง 10 ล้านบาทต่อปีด้วย ค่าห้องสูงสุดถึง 9,000 บาทต่อวัน และสิทธิ์รักษาพยาบาลผู้ป่วยนอก OPD แบบไม่จำกัดจำนวนครั้ง สูงสุดถึง 50,000 บาทต่อปี ไม่ต้องซื้อแยก ใบเดียวครบ หมดกังวลช่วงนี้ด้วยความคุ้มครองเพิ่มเติมพิเศษ ตรวจเจอโควิด-19 ก็ดูแลทันที ด้วยเงินชดเชยพิเศษสูงถึง 20,000 บาท หากเสียชีวิตจากโควิด 19 เพิ่มเติมพิเศษให้อีก 100,000 บาท พร้อมโรงพยาบาลและสถานพยาบาลในเครือข่ายมากกว่า 364 แห่งทั่วประเทศแบบไม่ต้องสำรองจ่าย
ไขข้อข้องใจเลสิคสามารถทำในคนไข้ที่เป็นต้อกระจกได้หรือไม่
โรคต้อกระจก เป็นภาวะที่เกิดจากเลนส์แก้วตาเสื่อมสภาพ ซึ่งเป็นกระบวนการเปลี่ยนแปลงของร่างกายตามธรรมชาติเมื่อมีอายุมากขึ้น แต่เคยได้ยินมาว่าเลสิคการทำในคนไข้ที่เป็นต้อกระจกได้ วันนี้เราจะไปคลายทุกข้อสงสัยกันครับ
ภาวะโรคต้อกระจก เลนส์แก้วตาจากเดิมที่มีลักษณะใสจะเริ่มขุ่นขึ้นจนบดบังแสงที่จะผ่านเข้าสู่ดวงตา ทำให้จอประสาทตารับแสงได้ไม่เต็มที่คนไข้ต้อกระจกจะมีอาการตามัว มองเห็นแต่จะไม่ชัดเหมือนมีหมอกมาบัง เห็นภาพซ้อนหรือแสงไฟกระจาย
การทำเลสิคและการผ่าตัดรักษาต้อกระจกมีวิธีการทำผ่าตัดที่แตกต่างกัน แต่มีจุดประสงค์เดียวกันคือ เพิ่มคุณภาพของการมองเห็นให้ดียิ่งขึ้น ทำเลสิค เป็นการผ่าตัดเพื่อแก้ไขภาวะสายตาที่เกิดความผิดปกติ ได้แก่ สายตาสั้น สายตายาวแต่กำเนิด และสายตาเอียง โดยการใช้เลเซอร์ปรับความโค้งที่กระจกตาให้เหมาะสม การเลสิคในผู้ป่วยที่มีภาวะต้อกระจกในระยะแรกเริ่มจะยังไม่ทำให้ประสิทธิภาพของการทำเลสิคลดน้อยลง ผู้ป่วยจะเห็นได้ชัดเจนขึ้นหลังจากทำเลสิค แต่เมื่อคนไข้เริ่มมีภาวะต้อกระจกมากขึ้นเรื่อย ๆ ผู้ป่วยจะเริ่มมีอาการตามัวมากขึ้น และต้องเข้ารับการรักษาโดยการผ่าตัดรักษาต้อกระจก ซึ่งทำโดยการผ่าตัดใส่เลนส์เทียมเข้าไปแทนที่เลนส์แก้วตาธรรมชาติที่มีลักษณะขุ่น
หากคนไข้มีประสงค์ที่จะทำเลสิคจริง ๆ ต้องได้รับการประเมินจากแพทย์ก่อนว่าสามารถทำได้มั้ย ในขั้นตอนการตรวจประเมินสภาพตาก่อนเลสิค แพทย์จะตรวจเพื่อประเมินประเภทการรักษาที่เหมาะสมต่อคนไข้มากที่สุด โดยในขั้นตอนสำหรับผู้ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป การตรวจจะรวมถึงการประเมินภาวะสายตายาวตามอายุซึ่งเป็นภาวะที่เกิดขึ้นเมื่อเรามีอายุที่มากขึ้น นอกจากนี้ แพทย์จะประเมินโรคต้อกระจกและโรคตาอื่น ๆ ที่มีปัจจัยต่อการพิจารณาการทำเลสิค เช่น โรคต้อหิน โรคจอประสาทตาเสื่อมตามอายุ เป็นต้น
สนใจรักษาปัญหาสายตาด้วยเลสิกไร้ใบมีด (FemtoLASIK)
สนใจรักษาโรคต้อกระจกด้วยการสลายต้อกระจก
[Top]ประกันสุขภาพออนไลน์ ทางเลือกสำหรับคนที่ไม่ต้องการตอบปัญหาสุขภาพ
หลายคนที่มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง ก็มักจะคิดเสมอว่า ประกันสุขภาพคือสิ่งที่ไม่จำเป็น เพราะปัญหาโรคภัยไข้เจ็บ ย่อมมักจะเกิดกับคนที่มีสุขภาพร่างกายที่อ่อนแอเท่านั้น ซึ่งการที่เราคิดแบบนี้ก็ไม่ใช้เรื่องแปลกอะไร เพราะในการทำประกันสุขภาพ เราจะต้องเสียเงินไปกับการชำระค่าเบี้ยประกันที่เราเองก็อาจไม่สามารถรับรู้ได้ว่า เราจะได้ใช้ความคุ้มครองเมื่อไรบ้าง แต่ในความเป็นจริงโอกาสที่เราจะพบเจอกับโรคภัยไข้เจ็บ เราย่อมไม่มีทางที่จะรู้ได้อย่างแน่นอนว่า ในอนาคตเราจะต้องป่วยรือพบเจอกับโรคร้ายแรงต่างๆ ดังนั้นในการทำประกันสุขภาพ จึงเป็นสิ่งจำเป็น เพราะอะไรการทำประกันสุขภาพออนไลน์ ถึงควรค่าที่คุณควรเลือกทำบ้าง
1. ช่วยสำรองค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล
อย่างที่เรารู้กันครับว่า ค่าใช้จ่ายของการรักษาพยาบาลจะมีตั้งแต่ค่าใช้จ่ายหลักร้อยไปจนถึงหลักแสนกันเลยทีเดียว แน่นอนว่าหากเราป่วยเป็นโรคที่ไม่ร้ายแรงมาก เช่น ไม่สะบาย ปวดหัว ท้องเสีย ค่าใช้จ่ายในการรักษาจะอยู่ตั้งแต่หลักร้อยจนถึงหลักพันบาทโดยประมาณ เราย่อมมีเงินในการจ่ายได้เอง แต่ถ้าเป็นโรคที่ร้ายแรงเช่น โรคมะเร็ง โรคหัวใจ โรคเบาหวาน ค่าใช้จ่ายสำหรับการรักษาจะอยู่ตั้งแต่หลักหมื่นไปถึงหลักแสนกันเลยทีเดียว เราอาจไม่มีเงินในการหมุนมาใช้จ่ายได้ทัน
2. ช่วยทำให้เราสามารถใช้ชีวิตได้อย่างหมดกังวล
การทำประกันสุขภาพ จะช่วยเพิ่มความคุ้มครองในเรื่องของความเสี่ยงที่เกิดจากโรคภัยไข้เจ็บให้กับเราได้ ช่วยให้เรามีเงินเหลือสำหรับการใช้จ่ายในชีวิตประจำวันมากขึ้น ไม่ต้องมาค่อยกังวลกับปัญหาอนาคตที่ยังไม่แน่นอน
3. ช่วยวางแผนทางการเงิน
ประกันสุขภาพ จัดเป็นเครื่องมือในการวางแผนทางการเงิน มีการคำนวณเบี้ยเสร็จสรรพเป็นรายปี ทำให้คุณสามารถหมดกังวลกับค่าใช้จ่ายเบี้ยประกันที่สูงขึ้น เมื่อคุณต้องเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล และเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่จะช่วยป้องกันความเสี่ยงทางด้านการเงิน
หากคุณกำลังมองหาแผนประกันสุขภาพเพื่อคุ้มครองคนที่คุณรัก เราขอแนะนำ ฟินชัวรันส์ ประกันชีวิตและประกันสุขภาพที่ให้คุณฟินกว่า ด้วยความคุ้มครองสุขภาพ โรคร้ายแรง รวมถึงโควิด-19 สูงสุดถึง 10 ล้านบาทต่อปี หมดความกังวลช่วงนี้ด้วยความคุ้มครองเพิ่มเติมพิเศษ ตรวจเจอโควิด-19 ก็ดูแลทันที ด้วยเงินชดเชยพิเศษสูงถึง 20,000 บาท และหากเจ็บป่วยด้วยโรคร้ายแรงอื่น รวมถึงโควิด-19 ก็พร้อมดูแลด้วยค่ารักษาแบบเหมาจ่ายสูงสุดถึง 10 ล้าน ด้วย ค่าห้องสูงสุดถึง 9,000 บาทต่อวัน และสิทธิ์รักษาพยาบาลผู้ป่วยนอกแบบไม่จำกัดจำนวนครั้ง สูงสุดถึง 50,000 บาทต่อปี และหมดกังวลกับคนข้างหลัง ด้วยความคุ้มครอง กรณีเสียชีวิตจากโควิด 19 เพิ่มเติมพิเศษให้อีก 100,000 บาท
[Top]เทคนิคเลือกซื้อประกันรถยนต์อย่างไรให้คุ้มค่า
ประกันรถยนต์ ถือเป็นแผนประกันประเภทหนึ่งที่ให้ความคุ้มครองกับผู้ขับขี่รถยนต์และเจ้าของรถยนต์ ซึ่งเป็นแบบประกันรถยนต์ที่เพิ่มขึ้นจากแผนประกันภาคปกติ ซึ่งแผนประกันรถยนต์ภาคสมัครใจ มีอยู่ 3 ประเภท ได้แก่ ชั้น 1, 2 และ 3 ส่วนใหญ่แล้วเราก็มักจะเลือกประกันชั้นที่ 1 และชั้นที่ 3 เนื่องจากความคุ้มครองที่เหมาะสมกับรถยนต์ที่เรามี โดยแต่ละแบบก็มีความคุ้มค่าที่แตกต่างกันไป แบบไหนบ้างที่เหมาะกับเราบ้าง วันนี้จะมาลองเปรียบเทียบกันดูครับ
แผนประกันชั้นที่ 1 แผนประกันรถยนต์ที่เหมาะสำหรับบุคคลทั่วไป ที่มองหาความคุ้มครองที่รอบด้านตั้งแต่ การคุ้มครองรถของเรา ไม่ว่าจะเป็นกรณีที่เราไปขับรถชน คู่กรณี หรือไม่มีคู่กรณี และกรณีรถสูญหาย ถูกโจรกรรม รวมถึงกรณีไฟไหม้ การคุ้มครองตัวของเจ้าของรถยนต์ ได้แก่ กรณีเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ ค่ารักษาพยาบาล และเงินค่าประกันตัว การคุ้มครองคนอื่นๆ ในกรณีเสียชีวิต และการบาดเจ็บของคู่กรณี
แผนประกันชั้นที่ 2 แผนประกันรถยนต์สำหรับบุคคลทั่วไป ที่มองว่า ประกันกลางๆระหว่างชั้น 1 และชั้น 3 แผนประกันที่เน้นการคุ้มครองรถของเราเพียงแค่ กรณีรถสูญหายหรือถูกโจรกรรม และกรณีรถไฟไหม้ แต่คว่มคุ้มครองในส่วนของตัวของเจ้าของรถยนต์และคนอื่นๆ ยังคงเทียบเท่าแผนประกันชั้น 1
แผนประกันชั้นที่ 3 แผนประกันรถยนต์สำหรับคนที่ไม่ต้องการอะไรมากนัก ซึ่งส่วนใหญ่ความคุ้มครองของแผนประกันรถยนต์ชั้น 3 จะเน้นเพียงแค่การให้ความคุ้มครองกับตัวของเจ้าของรถยนต์และคนอื่นๆ ที่ได้รับผลกระทบจากการขับขี่ของเราเท่านั้น
เราหวังว่าบทความนี้จะทำให้หลายคนได้เห็นถึงความแตกต่างของประกันรถยนต์ได้อย่างถูกต้อง และหากใครที่กำลังมองหาแผนประกันรถยนต์ เราขอแนะนำ ประกันรถยนต์ AIG แผนประกันรถยนต์ที่ให้ความคุ้มครองที่ครบครันสำหรับรถยนต์ของคุณ ไม่ว่าจะเป็นอุบัติเหตุแบบไหนก็ตาม คุ้มครองอุบัติเหตุส่วนบุคคล ค่าใช้จ่ายทางการแพทย์ และหลักทรัพย์ในการประกันตัว ทั้งยังครอบคลุมความรับผิดตามกฎหมายต่อบุคคลที่สาม
[Top]โรงเรียน3ภาษาทางเลือกของคนอยากเก่งภาษา
สมัยนี้ไม่รู้ภาษาไม่ได้แล้วนะ พื้นฐานที่เราเรียนกันมาตั้งเเต่อนุบาลก็คือภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ยิ่งในตอนนี้ใครเก่งภาษายิ่งได้เปรียบเเละเป็นที่ต้องการมาก เพราะชาวต่างชาติเข้ามาทำธุรกิจกับประเทศไทยเยอะมาก เเละสามารถนำไปประกอบอาชีพได้ เช่น เเอร์โฮสเตส ไกด์ นักแปล ล่าม ครูสอนภาษา เเละอื่นๆอีกมากมายที่ต้องใช้ภาษาในการทำงาน วันนี้จึงจะมาเเนะนำข้อดีของโรงเรียนสามภาษาให้สำหรับคนที่อยากเก่งภาษากันค่ะ
โรงเรียนสามภาษา
หลักสูตรสามภาษา เป็นโรงเรียนที่เน้นการเรียนหลักสูตรสามภาษา ไทย-จีน อังกฤษ นักเรียนจะได้เรียนรู้การใช้ภาษาทั้งการพูด ฟัง อ่านเขียน ไปตามธรรมชาติ เน้นการสื่อสารกับต่างชาติ เป็นการปูพื้นฐานภาษาที่สองและภาษาที่สามให้เด็กๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาษาอังกฤษและภาษาจีน ซึ่งหากเด็กๆ มีความสามารถในการสื่อสารด้วยภาษาทั้ง 3 นี้ หลายคนเชื่อว่าจะทำให้เด็กๆ มีโอกาสในชีวิตมากขึ้นและพัฒนาได้เป็นอย่างดี มีประสิทธิภาพ
ข้อดีของการเรียนโรงเรียนนานาชาติสามภาษา
- ทำให้เราฉลาดขึ้นกว่าเดิม การเรียนรู้ภาษาใหม่ ทำให้สมองเราได้ทำงานและแก้ไขปัญหา ทั้งการเรียนรู้จดจำ การแปลความหมาย รูปแบบประโยคที่ต่างกัน ทำให้นักเรียนที่รู้หลายภาษามีโอกาสทำคะแนนในวิชาอื่นๆดีกว่านักเรียนที่รู้เพียงภาษาเดียวด้วย
- ช่วยในการทำงานหลายๆอย่างพร้อมกัน คนที่สามารถเรียนรู้หลายภาษา จะมีความสามารถในการทำงานได้พร้อมกัน รวมถึงสามารถรับรู้ถึงสถานการณ์ต่างๆรอบตัวได้อย่างดี เป็นผลจากการฝึกเรียนรู้การพูด ฟัง เขียน ในรูปแบบที่ต่างกันนั่นเอง ลดความเสี่ยงของการเป็นโรคอัลไซเมอร์
- เพิ่มความจำ การศึกษาพบว่าการใช้งานสมองเรียนภาษาใหม่ จะทำให้เกิดการจดจำบ่อยๆ สามารถช่วยเพิ่มพื้นที่เก็บความทรงจำให้เราได้มากขึ้น เช่นเดียวกับฝึกวิดพื้นบ่อยๆแล้วแขน หรือร่างกายช่วงบนจะแข็งแรงขึ้นนั่นเอง
- เสริมความสามารถ ในการรับรู้แยกแยะข้อมูล มหาวิทยาลัยในสเปน พบว่าการเรียนรู้หลายภาษา ช่วยให้เรามีความสามารถในการแยกแยะข้อมูล กลั่นกรองถึงความถูกต้อง
เมื่อรู้อย่างนี้จะมองข้ามไม่ได้เลยเรื่องภาษาที่สาม มีพื้นฐานตั้งแต่ยังเด็กสามารถนำไปต่อยอดในอนาคตต่อได้ด้วย สำหรับผู้ปกครองท่านไหนที่กำลังมองหาโรงเรียนนานาชาติในกรุงเทพ เราขอแนะนำ TCIS โรงเรียนนานาชาติ 3 ภาษา ไทย-จีนและอังกฤษ แถวบางนา ได้รับการรับรองมาตรฐานสากลจาก WASC สถาบันรับรองมาตรฐานการศึกษาจากสหรัฐอเมริกา เปิดสอนตั้งแต่อายุ 2 ปีขึ้นไป – ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Thai-Chinese International School
[Top]